หนึ่งในหมู่บ้านที่สวยที่สุดในโลก และเป็นหมุดหมายของนักท่องเที่ยวให้ก้าวเท้าเข้ามาเยี่ยมชม เมืองที่มีความเป็นเอกลักษณ์ แตกต่าง และหนึ่งเดียว ที่นี่หมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go)
หนึ่งในหมู่บ้านที่สวยที่สุดในโลก และเป็นหมุดหมายของนักท่องเที่ยวให้ก้าวเท้าเข้ามาเยี่ยมชม
เมืองที่มีความเป็นเอกลักษณ์ แตกต่าง และหนึ่งเดียว ที่นี่หมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go)
ญี่ปุ่น เป็นประเทศที่เราสามารถไปเที่ยวซ้ำๆได้หลายรอบ เพราะแต่ละเมือง แต่ละฤดูกาล ก็จะมีความงามที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน อย่างช่วง ใบไม้เปลี่ยนสี ซากุระ หรือแม้แต่ช่วงที่มีหิมะตก
สำหรับหมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go) เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่มีชื่อเสียงไปที่วโลก โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวที่จะมีการจัดงานแสดงไฟ ภายในหมู่บ้าน หรือที่รู้จักกันว่า Shirakawago Light Up ที่จะมีเพียงปีละ 1 ครั้งเท่านั้น แล้วยอดการจองเข้าชมก็มักจะเต็มทันทีทุกครั้งที่เปิดจอง
ชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go) เป็นหมู่บ้านมรดกโลกทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่น ตั้งอยู่ในจังหวัดกิฟุ ภูมิภาคชูบุ ที่ได้รับ ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การ UNESCO ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1995 ข้อพิจารณาสำคัญก็คือความดั้งเดิมของบ้านเรือนสไตล์ “Gassho-zukuri” ที่มีอายุมากกว่า 250 ปี และยังมีภูมิปัญญาของชาวญี่ปุ่นที่สืบทอดกันมาถึงปัจจุบันก็คือ เลี้ยงไหมที่บริเวณห้องใต้หลังคา โดยในช่วงฤดูหนาว ความร้อนจากในตัวบ้านจะสะท้อนขึ้นไปที่ห้องใต้หลังคาเพื่อให้ความอบอุ่นกับไหมที่เลี้ยงไว้ สำหรับใครที่มีโอกาสได้พักในหมู่บ้านนี้ ก็สามารถขอเจ้าของบ้านดูได้ด้วยนะคะ (บ้านพักจองยากมากเพราะมีน้อยจริงๆค่ะ)
ที่จริงแล้ว ชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go) ก็จะประกอบไปด้วยชุมชนเล็กๆอีกนับสิบ แต่ที่นักท่องเที่ยวนิยมไปกันมากที่สุดก็คือ หมู่บ้านโอกิมาจิ (Ogimachi) ซึ่งเป็นหมู่บ้านหลักและมีขนาดใหญ่ที่สุดในชิราคาวาโกะ
สำหรับการเข้าไปในหมู่บ้านนี้ เราจะต้องจอดรถไว้ด้านหน้า แล้วเดินข้ามสะพานแขวนไป ตรงนี้อันตรายสุดๆ ใครมาช่วงที่หิมะตกหนักแบบเฟรม ต้องค่อยๆเดินอย่างระมัดระวัง เพราะเราสามารถลื่นแล้วตกลงไปในแม่น้ำได้เลยค่ะ
ภายในหมู่บ้าน ชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go) ก็จะมีร้านค้า คาเฟ่ ร้านอาหาร ที่พัก(เรียวกัง) ที่ทุกหลังจะเป็นบ้านทรง “Gassho-zukuri” ทั้งหมด บ้านโบราณเหล่านี้สร้างโยไม่ใช้ตะปูสักตัว ส่วนคำว่า “Gassho” นั่นก็แปลว่าการพนมมือ ก็คล้ายๆกับรูปทรงของบ้าน ซึ่งบ้านทรงนี้ไม่ได้สร้างขึ้นเพื่อความสวยงาม แต่มันมีฟังก์ชั่นที่สำคัญก็คือ หลังคาทรงแหลมสูงชัน ลาดลงด้านข้างทั้ง 2 ด้าน ทำมุม 60 องศา ทำให้ในช่วงที่หิมะตกหนัก หลังคาบ้านจะได้ไม่ต้องรับน้ำหนักเยอะสามารถสไลด์ลงมาด้านข้างของตัวบ้านได้เลย ส่วนด้านหน้าจะเจาะเป็นช่องหน้าต่างเพื่อให้แสงสว่างจากภายนอกส่องเข้ามาได้ และช่วยระบายอากาศได้ดี
จุดไฮไลท์ ที่เป็นภาพจำของนักท่องเที่ยวก็คือ การถ่ายภาพกับบ้าน 3 หลัง โดยจะมี 2 จุด ถ้าใครไม่อยากเดินไกลก็จะมีมุมนึงที่เราสามารถถ่ายได้จากในโซนใจกลางหมู่บ้าน แต่ถ้าเป็นบ้าน 3 หลัง แบบ ออริจินัล จะต้องเดินออกไปไกลอยู่ค่ะ ส่วนตรงนั้นจริงๆจะเป็นโซนร้านอาหาร ถ้าเข้าไปถ่ายรูปแล้วก็อาจจะต้องไม่ใช้เสียงดัง และไม่รบกวนลูกค้าของร้านอาหารนะคะ
ในโพสนี้เฟรมได้ช่วงฤดูหนาวก็จะได้รูปประมาณนี้ แต่ที่จริงแล้ว สามารถเที่ยวได้ทุกฤดูเลยค่ะ
ฤดูใบไม้ผลิ : เดือนมีนาคม-พฤษภาคม
อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 13 – 25 องศา ถ้ามาช่วงเมษายนจะได้เจอดอกซากุระ
ฤดูร้อน : เดือนมิถุนายน-สิงหาคม
อุณหภูมิประมาณ 27 – 33 องศา ช่วงต้นฤดูอาจจะมีฝนตกบ้าง จะเห็นทุ่งนาเขียวขจี และฟ้าที่สดใส
ฤดูใบไม้ร่วง : เดือนกันยายน-พฤศจิกายน
อุณหภูมิประมาณ 10 – 18 องศา เป็นช่วงใบไม้เปลี่ยนพอดี
ฤดูหนาว : เดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์
อุณหภูมิประมาณ -10 ถึง 3 องศา เป็นช่วงไฮไลท์ที่จะเจอหิมะ และงานแสดงไฟ
ทุกคนสามารถติดตามการเดินทางครั้งต่อไปของเฟรมได้ที่นี่ Lifestyle Spring หรือทักทายกันได้ที่ IG:famframe
“พิธีกรที่หลงรักการเดินทาง เพื่อพบเจอ พูดคุย และได้ใช้กล้องที่รักเวลาออกทริป” by famframe