ใครกำลังมองหาประเทศที่ใช้เวลาบินไม่นาน ค่าครองชีพตอบโจทย์มนุษย์เงินเดือน ต้องที่นี่เลย สปป.ลาว 3 วัน 2 คืน หลวงพระบาง – เวียงจันทน์ ไปด้วยรถไฟความเร็วสูง แจกแพลนเที่ยวแบบพร้อมออกเดินทาง
ทริปสั้นสำหรับคนมีเวลาน้อยแต่สามารถไปเช็กอินจุดสำคัญ และร้านอนร่อยได้ ลอกแพลนเฟรมได้เลยค่ะสำหรับทริปนี้ เฟรมบินสายการ Thai smile เวลาออกจาก กทม. 11.40 น. ใช้เวลาบินเพียง 1.25 ชม.ก็ถึงหลวงพระบางแล้ว และสำหรับการเดินทางภายในหลวงพระบางเฟรมใช้วิธีเช่ารถตู้พร้อมคนขับ จะทำให้เราเดินทางสะดวกสบายมากขึ้นค่ะ และคนขับส่วนมากเข้าใจภาษาไทยไม่ต้องมีล่ามเลยค่ะ
ร้านอาหาร T 56
สิ่งแรกที่เราต้องแวะเลยก็คือร้านอาหารเพราะได้เวลาเที่ยงพอดี เราเลือกเป็นร้าน ที่ชื่อว่า T 56 เพราะเป็นร้านอาหารที่มีทั้งอาหารตะวันตก และอาหารท้องถิ่น บรรยากาศของ 2 ร้านมี 2 ฝั่งให้เลือกคือ ด้สนในจะตกแต่งสไตล์ฝรั่งเศษสมัยใหม่ กับโซนด้านนอกจะเป็น OUTDOOR ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง ตกแต่งเก๋สุดเรื่องรสชาติของที่นี่
เฟรมสั่งมาลองทั้งอาหารตะวันตกอย่าง สปาเก็ตตี้ และเบอร์เกอร์ (เนื้อควาย) ผ่านเลยค่ะ ส่วนอาหารท้องถิ่น อย่างลาบไก่ ไส้อั่ว ก็เป็นรสชาติที่คุ้นเคย และไฮไลท์ที่เฟรมชอบมากคือ ตำหมากหุ่ง หรือ ส้ำตำ ปลาร้า นี่แหละค่ะ อร่อยนัวร์มาก (คอแห้งเลยค่ะ) หน้าตาเส้นมะละกอจะใหญ๋มาก เหมือนกับเส้นใหญ่ และสีของน้ำจะดำกว่าบ้านเรา แต่กลิ่นปลาร้าไม่แรงมาก คนไม่กินก็สามารถนั่งร่วมโต๊ะได้อยู่ค่ะ แต่รสชาติคือ ใช้ได้เลย เฟรมชอบ
- พระราชวังหลวงพระบาง
ปัจจุบันได้เปลี่ยนเป็น หอพิพิธภัณฑ์แห่งชาติหลวงพระบาง หรือ หอคำ เมื่อ พ.ศ. 2519 โดยใช้เป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงโบราณวัตถุและของมีค่า เช่น บัลลังก์ ธรรมาสน์ เครื่องสูงและราชูปโภคของเจ้าชีวิต พระพุทธรูป และวัตถุโบราณ รวมถึงของขวัญจากต่างประเทศ แต่ภายในห้ามถ่ายรูปทั้งหมดเลยค่ะ
- วัดเชียงทอง
เป็นวัดที่นักท่องเที่ยวต้องมาเช็กอิน เพราะมองแล้วต่างรู้กันดีว่าคือที่ไหน
ที่สำคัญ วัดแห่งนี้ยังเป็นวัดที่รอดพ้นจากอัคคีภัยครั้งใหญ่ที่เมื่อ พ.ศ. 2430 โดยฝีมือของพวกฮ่อมาได้อีกด้วย สิมหลังนี้จึงเก่าแก่ที่สุดภายในตัวเมืองเก่าหลวงพระบาง และกลายเป็นต้นแบบของงานสถาปัตยกรรม ซึ่งในประเทศไทยก็มีอยู่หนึ่งที่ ที่คล้ายกับที่นี่มากๆนั่นก็คือ วัดสิรินธรวรารามภูพร้าว จังหวัดอุบลราชธานี ที่ด้านหลังมีรูปต้นโพธิ์เรืองแสงอยู่
นี่คือ Photo spot หอพระพุทธไสยาสน์ ผนังด้านนอกทาพื้นเป็นสีชมพูกุหลาบ ตกแต่งด้วยกระจกสีเป็นลวดลายสวยงาม บอกเล่าถึงนิทานพื้นบ้านที่มีคำสอนเกี่ยวกับธรรมะไว้เตือนสติผู้คน แล้วตรงนี้จะมีหน้าต่างบานเล็กๆ ที่ส่วนมากนักท่องเที่ยวจะไปโผล่หน้าออกมาแล้วถ่ายรูปให้เห็นกำแพงเก็บรายละเอียดได้ครบเลย
- Night market
ถนนคนเดินที่คล้ายๆเชียงใหม่บ้านเรา ของขายก็จะเป็นเครื่องเงิน ผ้าถุงผ้าทอ ที่คล้ายๆกันทั้งตลาด ส่วนหัวตลาดจะมีศูนย์อาหารที่รวบรวมร้านอาหารไว้หลากหลายแนว เป็นแบบสตีทฟู๊ด ที่สามารถซื้อหลายๆร้านแล้วมานั่งรับประทานได้เลย ช่วงหัวค่ำคนค่อนข้างหนาแน่น
- Tamarind Tree Restaurant
เป็นร้านอาหารเย็นที่อยากจะแนะนำมากๆ ดูแล้วเหมือนจะเป็นร้านสำหรับนักท่องเที่ยวเพราะมีแต่ชาวต่างชาติ(ตะวันตก) ทั้งนั้นเลย ร้านนี้จะมีความออแกนิคสูงหน่อย ส่วนเมนูอาหารก็จะเป็นแบบพื้นบ้านที่ปรับรสชาติมาแล้วนิดหน่อยแต่ยังคงความอาหารลาวอยู่ เมนูแนะนำสำหรับเฟรม ปลาย่าง เป็นปลาสดๆรสหวาน เสิร์ฟพร้อมกับเครื่องเคียงเยอะมากๆต้องลองค่ะ
- ที่พัก le sen boutique hotel
สำหรับค่ำคืนแรก เฟรมพักที่ le sen boutique hotel เป็นโรงแรมบูทีค ที่มีห้องไม่เยอะแต่เงียบสงบเลยหละเฟรมเลือกเป็นห้องประเภท Sen Deluxe Pool Access (10,273 THB) ราคานี้แถม Afternoon tea ให้ด้วยค่ะ
ส่วนของห้องพักมีอ่างอาบน้ำแบบญ่ปุ่นให้ด้วยตั้งอยู่หน้าก้อง และด้านหลังห้องเปิดประตูออกมาก็จะเจอกับสระว่ายน้ำ อาหารเช้าก็ครบค่ะ สามารถเลือกได้เลยจะรับแบบตะตันตก หรือ เฝอ ก็อร่อยครบ
วันที่ 2 วันนี้เราจะต้องนั่งรถไฟความเร็วสูงข้ามจาก “หลวงพระบาง – เวียงจันทน์”
สำหรับการซื้อตั๋วรถไฟ เฟรมแนะนำว่าให้ใช้บริการรับจองตั๋วให้จะสะดวกสุดค่ะ เพราะเขาจะเปิดจองแบบวันต่อวัน แต่มีคนลาวแนะนำมาว่า ซื้อใน APP ที่ชื่อว่า LCR ได้เช่นเดียวกัน แต่ตั๋ซรถไฟจะเต็มเร็วมากเพราะฉะนั้นห้ามผิดพลาดนะคะ เดี๋ยวจะอดย้ายเมือง
- ร้านกาแฟประชานิยม หลวงพระบาง
ร้านอาหารเช้าท้องถิ่นที่ต้องมา ร้านประชานิยมเป็นความเรียบง่าย สเน่ห์ของร้านนี้คือใช้เตาถ่านในการทำอาหาร ร้านไม่ใหญ่ มีที่นั่งล้อมรอบเป็นบาร์นิดหน่อย เมนูง่ายๆเช่น กาแฟ ชา ไข่ลวก ปาท่องโก๋ เฝอ บรรยากาศมองไปอีกฝั่งก็เป็นแม่น้ำโขง เห็นวิถีชีวิตของคนเมือง และราคาของร้านนี้ไม่สูงค่ะ
- Le Banneton Cafe
สายคาเฟ่ ต้องแวะ คาเฟ่ที่มีเบเกอรี่ดีมากๆ โดยเฉพาะครัวซอง หมดไวสุด บรรยากาศภายในร้านเป็นบ้านไม้ 2 ชั้น เรียบง่าย กลื่นอายตะวันตก แต่ก็ยังมีความท้องถิ่น ด้านหน้าถ่ายรูปสวย และกาแฟที่นี่ใช้เมล็ดค่อนข้างดี สาย สเปเชียล ต้องติดใจ
แล้วก็ถึงเวลาย้ายเมือง ขึ้นรถไฟความเร็วสูง (ที่ไม่สูงเท่าไหร่ 160 กม./ ชม.)
คำแนะนำในการจองตั๋วของเฟรมแนะนำให้เลือกชั้น 1 หรือ ชั้น 2 เพราะจะบุเลขที่นั่งไม่มีใครแย่งเราได้ และคำเตือนคือ รถไฟไม่ตรงเวลาเป๊ะ อาจมาก่อน หรืออาจมาช้าต้องเผื่อเวลาด้วยนะคะ เราออกจากหลวงพระบาง รถไฟจะจอกที่วังเยง 1 สถานี และก็ลงสถานีเวียงจันทน์ได้เลย
- ประตูชัย หรือ ปะตูไซ (Patuxay Monument)
มาถึงเวียงจันทน์ ก็ต้องมาเช็กอินที่ไฮไลท์นั่นก็คือ ประตูชัย หรือ ปะตูไซ แนะนำให้ไปช่วงเย็นๆนะคะ จะมีเปิดน้ำพุ (18.00 น.) และเปิดไฟ ด้วย สำหรับประตูไซนั้นถูกตกแต่งด้วยศิลปะแบบล้านช้าง มีการนำสัตว์ในตำนานตามความเชื่อของศาสนาพุทธ เช่น กินรี พญานาค และเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู มาตกแต่ง บริเวณโดยรอบมีลานจัดการแสดงน้ำพุประกอบดนตรีและสวนปะตูไซด้วย ส่วนใครอยากขึ้นด้านบน เพื่อชมวิวมุมสูงของนครหลวงเวียงจันทน์แบบ 360 องศา ก็สามารถเดินบันไดวน 197 ขั้นขึ้นไปได้
- ที่พัก La Seine Hotel
ค่ำนี้เราพักกันที่ La Seine Hotel (5,274 บาท) เป็นโรงแรมที่อยู่ใกล้กับถนนคนเดินริมน้ำโขง เพราะตัวโรงแรมจะมองเห็นอีกฝั่งของประเทศไทย นั่นก็คือหนองคาย และโรงแรมที่เราพักด้านบนเป็น ร้านอาหารRooftop เห็นรูป ดารานักแสดงไทย มาเช็กอินกันเพียบเลยค่ะ ถือว่าอยู่ในทำเลที่ดี
- ข้าวจี่ปาเต๊ะ ร้านวันดัง
เป็นอาหารที่อยากทุกคนได้ลอง “ข้าวจี่ ปาเต๊ะ” คือการนำขนมปังฝรั่งเศส มาผ่ากลางแล้วใส่ไส้ลงไป (คล้าย SUBWAY) โดยเครื่องเคียงหลักจะมี หมูยอ ตับบด กุนเชียง ขาหมูแผ่น หมูหยอง ผักดอง ซอส และพริก เครื่องเขาจะใส่ให้ล้นๆเลย เวลากินอาจจะเลอะนิดหน่อย แต่บอกเลยแซ่บมาก หมูยอทอดของที่นี่ก็อร่อยไม่แพ้กัน
- Annabelle Restaurant Cafe Bakery
สายคาเฟ่ ต้องไม่พลาดร้านนี้ ปิดท้ายกันก่อนกลับเป็นร้านที่ตกแต่งสไตล์ยูโรป มีอาหารครบทั้งตะวันตก ไทย และลาว เฟรมสั่งอาหารไทย (ผัดกะเพรา) รสชาติดีแลย แต่อีกสอ่งที่เดินเข้ามาแล้วรู้สึกว่าต้องสั่ง ก็คือ เบเกอรี่ เพราะกลิ่นหอมโชย แบบอบกันสดๆใหม่ๆ และที่สำคัญคาเฟ่นี้ มุมถ่ายรูปเยอะมากค่ะ
ทุกคนสามารถติดตามการเดินทางครั้งต่อไปของเฟรมได้ที่นี่ Lifestyle Spring หรือทักทายกันได้ที่ IG:famframe
“พิธีกรที่หลงรักการเดินทาง เพื่อพบเจอ พูดคุย และได้ใช้กล้องที่รักเวลาออกทริป” by famframe