SHORT CUT
ลอนดอนแก้ปัญหามลพิษด้วยเขตปล่อยมลพิษต่ำ (ULEZ) และเก็บค่าธรรมเนียมรถยนต์ ส่งผลให้ไนโตรเจนไดออกไซด์ลดลง 27% ภายใน 6 ปี
ในอดีต กรุงลอนดอนของสหราชอาณาจักรเคยประสบปัญหามลพิษทางอากาศเช่นเดียวกับกรุงเทพมหานคร ในปี 2019 ลอนดอนกลายเป็นเมืองหลวงที่มีคุณภาพอากาศแย่เป็นอันดับที่ 17 ของโลก ขณะที่ กทม. หรือเชียงใหม่ วนเวียนอยู่ใน 5 อันดับแรกเป็นประจำ
ปี 2019 ซาดิก ข่าน นายกเทศมนตรีกรุงลอนดอน ผลักดันให้มีการกำหนดเขตปล่อยมลพิษต่ำ หรือ Ultra Low Emission Zone (ULEZ) โดยกำหนดให้ยานพาหนะที่ไม่ปฏิบัติตามกฎเพื่อควบคุมมลพิษจ่ายเงิน 12.50 ปอนด์หรือประมาณ 520 บาทต่อการเข้าพื้นที่โซนในแต่ละวัน
และในเขตที่มีการจราจรหนาแน่น ใช่ว่าจะเข้าได้ฟรี ๆ เพราะกรุงลอนดอนเสนอว่าให้มีการเรียกเก็บเงินอีก 11.50 ปอนด์ หรือประมาณ 480 บาท รวม ๆ แล้วชาวลอนดอนต้องควักเงินราว 1,000 บาท เพียงเพื่อจะเข้าเมืองในวันจันทร์ถึงศุกร์
ในช่วงแรก มีกระแสต่อต้าน และคัดค้านอย่างรุนแรง เพราะหลายคนกังวลว่านี่จะทำให้ค่าครองชีพในกรุงลอนดอน (ซึ่งสูงลิ่วอยู่แล้ว) เพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ สภาธุรกิจขนาดเล็ก (FSB) เผยว่า บริษัทขนาดเล็กหลายแห่งกังวลมากเกี่ยวกับอนาคตทางธุรกิจ
คำถามคือ มาตรการเด็ดขาดเบอร์นี้ ผลลัพธ์ล่ะ...เวิร์กไหม ? ไปดูกัน
ล่าสุด สำนักงานนายกเทศมนตรีลอนดอน ระบุว่า ปริมาณการปล่อยก๊าซพิษในลอนดอนลดลง 27% หลังจากมีการกำหนดเขตปล่อยมลพิษต่ำ และขยายพื้นที่ออกไปอีกในปี 2023 สำนักข่าวรอยสเตอร์ เปิดเผยว่า แค่ขยายพื้นที่ออกไปก็ทำให้มีผู้ที่ต้องเสียจ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น 5 ล้านคน
ข้อมูล ณ เดือนธันวาคม ปี 2024 ระบุว่า ผลพวงจากนโยบานลดมลพิษทางอากาศทั้งหมดดังที่กล่าวไปข้างต้น ทำให้ระดับไนโตรเจนไดออกไซด์ลดลง 27% (NO2 หรือ ไนโตรเจนไดออกไซ เกิดจากกระบวนการสันดาปของเครื่องยนต์) ซึ่งนี่คือสารตั้งต้นให้เกิดฝุ่นละออง หมอกควัน และมลพิษที่เข้าสู่ร่างกายมนุษย์
ข้อมูลทางการแพทย์ระบุว่า หากร่างกายได้รับไนโตรเจนไดออกไซด์สูงเกินไป อาจก่อให้เกิดโรคร้ายแรงได้ ไม่ใช่เฉพาะแค่กับเด็กเล็ก แต่เกิดได้กับคนทุกเพศทุกวัย อาทิ โรคหอบหืด ปอดพัฒนาช้า และร้ายแรงที่สุดคือ มะเร็งปอด
“การตัดสินใจขยายเขต ULEZ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่รายงานฉบับนี้แสดงให้เห็นว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องสำหรับสุขภาพของชาวลอนดอนทุกคน” ซาดิก ข่าน นายกเทศมนตรีกรุงลอนดอน กล่าว
ที่มา: Reuters
ข่าวที่เกี่ยวข้อง