SPRiNG ชวนทำความรู้จัก “Mono Foods” ร้านค้าในสิงคโปร์ ที่มาพร้อมกับไอเดียสุดเจ๋ง นั่นคืออการขายสินค้า “ใกล้หมดอายุ” ในราคาถูก (มาก) แถมภายในร้านยังมีของฟรีให้หยิบไปได้ มาดูกันว่าร้านค้านี้สามารถช่วยลด “ขยะอาหาร” ในแดนสิงโตพ่นน้ำได้อย่างไร?
สปริงนิวส์ชวนทำความเข้าใจวิกฤตขยะอาหาร (Food Waste) ในสิงคโปร์กันก่อนเพื่อให้เห็นภาพกว้างว่าประเทศไทยที่มีขนาดเล็กกว่ากรุงเทพฯ นั้นปวดหัวกับขยะอาหารมากแค่ไหน และรัฐบาลแก้ไขปัญหานี้อย่างไร
Mono Foods ให้ข้อมูลว่าสิงคโปร์ทิ้งอาหารราว 2,000 ตันต่อวัน และสร้างขยะอาหารราว 6.6 แสนตันในปี 2022 แต่เศษอาหารเหล่านี้มีเพียง 18% เท่านั้นที่ถูกนำไปรีไซเคิล ขณะที่ไทยสร้างขยะอาหาร 9.7 ล้านตัน
ปัญหาขยะอาหารในสิงคโปร์เข้าขั้นวิกฤต ทางรัฐบาลจึงผุดสารพัดวิธีในการแก้ไขปัญหา Food Waste อาทิ เปลี่ยนขยะอาหารเป็นปุ๋ย ออกกฎหมายบำบัดขยะอาหารในอาคาร หรือแม้แต่มีโครงการให้ร้านค้าต่าง ๆ บริจาคอาหารเหลือไปยังโรงทาน และองค์กรการกุศลทั่วประเทศ
Mono Foods ก่อตั้งขึ้นในปี 2021 ตั้งอยู่ที่ห้างสรรพสินค้า Yue Hwa ย่านไชน่าทาวน์ โดยมี “ลีโอนาร์ด ชี” เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง ทั้งยังเป็นผู้นำเสนอไอเดียเรื่องความยั่งยืนที่ทำอยู่ให้กับทีมข่าว SPRiNG ฟังในการทัวร์ครั้งนั้นด้วย
สินค้าทุกชิ้นในร้าน Mono Foods มีอยู่ 2 ประเภทคือสินค้าใกล้หมดอายุ และสินค้าที่จะหมดอายุในอีก 3-9 เดือนข้างหน้า แต่ความพิเศษคือสินค้าทุกชิ้นจะขายในราคาถูก (มาก) ชนิดที่ว่าลูกค้าเลือกที่จะมาซื้อสินค้าในร้านนี้มากกว่าเดินเข้าห้าง หรือซูเปอร์มาร์เก็ตเสียอีก
โดยสินค้าที่วางขายในร้านนี้มีหลากหลายประเภทด้วยกัน อุปโภค บริโภค ครบครัน อาทิ อาหาร น้ำ นม ขนม ครีม ผลิตภัณฑ์บำรุงร่างกาย ยารักษาโรค แต่ที่พิเศษไปกว่านั้นคือในแต่ละวันจะมี “สินค้าฟรี” วางไว้ ลูกค้าสามารถหยิบไปได้เลย ไม่มีค่าใช้จ่าย
อย่างไรก็ตาม สินค้าใน Mono Foods ไม่ได้ขายแยกชิ้น แต่มีจะมีกล่องหลายขนาดไว้ให้ ซึ่งแต่ละขนาดราคาจะไม่เท่ากัน อาทิ 12-15 สิงคโปร์ดอลลาร์, 15-20 สิงคโปร์ดอลลาร์, 25-30 สิงคโปร์ดอลลาร์ โดยลีโอนาร์ด ชี เปิดเผยว่าลูกค้าสามารถใส่สินค้าลงกล่องเท่าไรก็ได้ ตราบใดที่มันไม่ล้นออกมา
ทีมข่าว SPRiNG มีโอกาสเดินสำรวจสินค้า และผลิตภัณฑ์ที่วางขายใน Mono Foods พบว่าส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวันแทบทั้งสิ้น ซึ่งเมื่อเทียบราคาแล้ว อุดหนุนสินค้าจากร้านแห่งนี้คุ้มกว่าไปเสียเงินให้ห้างร้านกว่ากันเยอะ
อย่างที่เกริ่นไปตอนต้น ผู้คนมักมีอคติกับอาหารที่มีป้ายติดว่า “Best Before” หรือ “ควรบริโภคก่อน” ซึ่งจริง ๆ แล้วยังบริโภคได้ เพียงแต่รสชาติอาจไม่เลิศรสเหมือนเดิม แต่ยังสามารถรับประทานได้
เมื่อเกิดอคติขึ้น ผลที่ตามมาคือผู้บริโภคจะไม่ซื้ออาหารที่มีป้าย “Best Before” ติดอยู่ จนอาหารเหล่านี้ท้ายที่สุดต้องนำไปทิ้ง อันที่จริงห้างร้านก็เล็งเห็นปัญหานี้ และมีความพยายามท่จะถ่ายสินค้าไปยังสถานที่ต่าง ๆ เพื่อไม่ให้เกิดเป็น Food Waste
Mono Foods จับมือกับพาร์ทเนอร์ต่าง ๆ รับสินค้ามาขายต่อ เพียงเท่านี้อาหารเหล่านั้นก็จะไม่กลายเป็นขยะอาหารแล้ว แถมยังขายได้ เพราะถูกนำมาขายต่อในราคาถูก และได้รับการโปรโมทอย่างจริงจัง
หลังจากนั้น พฤติกรรมผู้บริโภคก็ค่อย ๆ เปลี่ยน หันมาซื้อสินค้าจากร้าน Mono Foods กันมากขึ้น อาหารที่ผลิตออกมาไม่สูญเปล่า แม้เป็นการกระทำเล็ก ๆ แต่เพียงเท่านี้วงจรการบริโภคอาหารที่ยั่งยืนก็เกิดขึ้นแล้ว
อันที่จริงกระบวนการผลิตอาหาร ตั้งแต่การผลิต แปรรูป จัดเก็บ ขนส่ง ล้วนปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่โลกทั้งนั้น ข้อมูลจากมูลนิธิสืบนาคะเสถียรเปิดเผยว่าก๊าซเรือนกระจกจากอุตสาหกรรมอาหารคิดเป็น 8% ของภาคคมนาคม
อีกหนึ่งเหตุผลคือเมื่อความต้องการอาหารสูงขึ้น ผลกระทบที่ตามมาคือการถางป่าเพื่อนำไปใช้ในภาคอุตสาหกรรมอาหาร สัตว์ป่าสูญเสียที่อยู่ อีกหนึ่งเหตุผลคือเมื่ออาหารถูกทิ้ง ขยะอาหารเหล่านั้นจะถูกนำไปฝังกลบ เน่าเสีย และในกระบวนการนั้นจะปล่อยก๊าซมีเทน ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกออกสู่โลก
*หมายเหตุ ทีมข่าวสปริงนิวส์ได้ร่วมเดินทางไปสิงคโปร์ภายใต้การดูแลของ Singapore International Foundation (SIF)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง