SHORT CUT
ส่องแผนภาคเอกชนในธุรกิจกาแฟที่เดินหน้าสนับสนุนการหนุนปลูกกาแฟอย่างยั่งยืน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รองรับเทรนด์โลกที่กำลังมาแรงเรื่อง ESG ผลักดันตลาดกาแฟสำเร็จรูปไทย ไตรมาส 1 ปี2567โต 5% มูลค่า 5,700 ล้าน
ปัจจุบันไทยกำลังเดินหน้าส่งเสริมการทำเกษตรแบบปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการทำเกษตรแบบรักษ์โลก ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพราะสหภาพยุโรปเริ่มคุมเข้มเกี่ยวกับสินค้าเกษตรทำลายป่า ทำลายสิ่งแวดล้อม โดยก่อนหน้านี้ นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า สนค.ได้ติดตามสถานการณ์การส่งออกสินค้าเกษตรไทยภายใต้กฎหมายว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า หรือ EUDR (EU Deforestation Regulation) ของสหภาพยุโรป (อียู) ซึ่งได้มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2566 และจะมีผลในทางปฏิบัติตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2567
ทั้งนี้ มาตรการ EUDR ครอบคลุม 7 กลุ่มสินค้า คือ โกโก้ กาแฟ ถั่วเหลือง ยางพารา ปาล์มน้ำมัน โค และไม้ รวมถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปของสินค้าเหล่านี้ โดยในปี 2565 ไทยมีการส่งออกสินค้าที่อยู่ภายใต้มาตรการ EUDR ไปอียู รวมมูลค่า 724.73 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.34 จากปีก่อนหน้า เรียงตามมูลค่าการส่งออกสูงสุด ดังนี้
(1) ยางพารา 657.02 ล้านเหรียญสหรัฐ (2) ไม้ 43.11 ล้านเหรียญสหรัฐ (3) ปาล์มน้ำมัน 21.39 ล้านเหรียญสหรัฐ (4) โกโก้ 2.89 ล้านเหรียญสหรัฐ (5) กาแฟ 0.32 ล้านเหรียญสหรัฐ และ (6) ถั่วเหลือง 0.002 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนโคเป็นสินค้าที่ไทยไม่มีการส่งออกไปอียู (จัดกลุ่มสินค้าตามพิกัดศุลกากรที่ระบุใน Regulation (EU) 2023/1115)
อย่างไรก็ตามหากโฟกัสเฉพาะกาแฟที่เป็นพืชเศรษฐกิจของไทย และตลาดกาแฟไทยเป็นตลาดที่ใหญ่ โดยกระทรวงพาณิชย์ เปิดข้อมูล “ตลาดกาแฟไทย” ยังขยายตัวร้อนแรง เฉลี่ย 3 ปี เติบโตเฉลี่ย 8.55% โดยปี 2566 มีมูลค่าตลาด 34,470.3 ล้านบาท ขยายตัว 7.34% หลังกลุ่มวัยทำงานมีความต้องการบริโภคเพิ่มสูงขึ้น และแนวโน้มกาแฟรักษ์โลกเติบโตต่อเนื่อง
หนึ่งในผู้ประกอบการที่เดินหน้าสร้างความยั่งยืนต่อเนื่อง คือ เนสกาแฟ ที่ตอกย้ำเจตนารมณ์ในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้วงการกาแฟไทย เดินหน้าเสริมแกร่งธุรกิจเนสกาแฟผ่านการนำเสนอภาพลักษณ์แบรนด์ที่สร้างแรงบันดาลใจ ควบคู่กับการพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด และส่งเสริมการปลูกกาแฟอย่างยั่งยืน ในขณะที่ตลาดกาแฟในประเทศไทยเติบโตขึ้นในไตรมาสแรกของปีนี้
พร้อมความต้องการบริโภคกาแฟที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ปริมาณผลผลิตเมล็ดกาแฟในประเทศกลับลดลง เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการหันไปปลูกพืชเศรษฐกิจอื่น ๆ ทำให้ความต้องการในการนำเข้าเมล็ดกาแฟเพิ่มสูงขึ้น ในฐานะผู้นำตลาด เนสกาแฟจะเดินหน้าสร้างธุรกิจให้แข็งแกร่ง เพื่อตอบโจทย์คอกาแฟไทยให้ดียิ่งขึ้นและผลักดันการเติบโตของอุตสาหกรรม ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการปลูกกาแฟอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างความพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยมีผลผลิตเมล็ดกาแฟคุณภาพสูงในระยะยาว
สำหรับตลาดกาแฟสำเร็จรูปในประเทศไทยในไตรมาสแรกของปี พ.ศ. 2567 มีมูลค่าตลาดโดยรวม 5,700 ล้านบาท และเติบโต 5% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปีก่อน เนื่องมาจากความต้องการที่สูงของผู้บริโภคชาวไทย (ที่มา: นีลเส็นไอคิว) ในขณะที่ตลาดกาแฟพร้อมดื่มหรือ RTD ยังได้รับความนิยมมากขึ้นในประเทศ เนื่องจากความต้องการด้านความสะดวกสบายและอุณหภูมิที่สูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ในช่วงหน้าร้อน มูลค่าตลาดกาแฟพร้อมดื่มในไตรมาสแรกของปีนี้จึงอยู่ที่ 3,800 ล้านบาท และมีการเติบโต 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (ที่มา: คันทาร์ เวิลด์พาแนล)
อย่างไรก็ตาม ผลผลิตเมล็ดกาแฟในประเทศไทยกลับเผชิญความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการหันไปปลูกพืชเศรษฐกิจอื่น ๆ ส่งผลให้มีความต้องการนำเข้าเมล็ดกาแฟเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ผลผลิตเมล็ดกาแฟในระดับโลกก็มีปริมาณลดลงเช่นเดียวกัน โดยมีการคาดการณ์ว่า ผลผลิตเมล็ดกาแฟทั่วโลกอาจลดลงถึง 50% ภายในปี พ.ศ. 2593 ทำให้การขับเคลื่อนการเกษตรเชิงฟื้นฟูทวีความสำคัญยิ่งกว่าที่เคย
นายโจโจ้ เดลา ครูซ ผู้อำนวยการบริหารธุรกิจผลิตภัณฑ์กาแฟและครีมเทียม บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด กล่าวว่า "ในฐานะผู้นำตลาดกาแฟ เนสกาแฟจะสานต่อบทบาทสำคัญในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับวงการกาแฟไทย เรามุ่งมั่นที่จะเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจเนสกาแฟ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคชาวไทยให้ดียิ่งขึ้น และผลักดันการเติบโตของอุตสาหกรรมกาแฟไทย ควบคู่ไปกับการพัฒนาการปลูกกาแฟอย่างยั่งยืน เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีผลผลิตเมล็ดกาแฟในระยะยาวที่เพียงพอ เพื่อประโยชน์แก่ผู้บริโภค เกษตรกรที่เราทำงานเคียงข้าง รวมถึงพันธมิตร คู่ค้า และประเทศไทยโดยรวม
ด้วยความมุ่งมั่นดังกล่าว กลยุทธ์ของเนสกาแฟในช่วงครึ่งปีหลังนี้ จะมุ่งเน้นไปที่ 3 ด้านหลัก ซึ่งสามารถสรุปได้เป็นกลยุทธ์ “NES” ได้แก่ N: NESCAFÉ Brand การพัฒนาเนสกาแฟให้เป็นแบรนด์ที่สร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนสร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีคุณค่า E: Experience มอบประสบการณ์การดื่มด่ำกาแฟสุดพิเศษ ผ่านนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ที่ปรับสูตรใหม่ และ S: Sustainability การให้ความสำคัญกับความยั่งยืนเป็นหัวใจสำคัญของแบรนด์
“เมื่อโลกมีการเปลี่ยนแปลง ผู้บริโภคและบทบาทของกาแฟก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน จึงนำไปสู่กลยุทธ์แรก คือ การพัฒนาจุดยืนของแบรนด์เนสกาแฟให้เป็นเครื่องดื่มที่สร้างแรงบันดาลใจ ด้วยการเปิดตัวแคมเปญระดับโลก "Make Your World" เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งได้เข้าถึงคนไทยแล้ว 59 ล้านคน เนสกาแฟพลิกโฉมแบรนด์จากการเป็นเครื่องดื่มประจำวันที่ทำให้ผู้คนตื่น มาเป็นเครื่องดื่มที่สร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนสร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีคุณค่า เนสกาแฟจะเดินหน้าสร้างความตื่นเต้นและสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้บริโภคผ่านแคมเปญ "Make Your World" ในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ต่อไป”
สำหรับกลยุทธ์ที่สอง เนสกาแฟมุ่งมั่นมอบประสบการณ์การดื่มกาแฟชั้นเลิศด้วยนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ที่ปรับสูตรใหม่ เพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภคชาวไทย ล่าสุด เนสกาแฟได้เปิดตัวกาแฟกระป๋องพร้อมดื่มระดับพรีเมียม เนสกาแฟ โกลด์ อเมริกาโน่ และลาเต้ รวมทั้ง เนสกาแฟกระป๋องพร้อมดื่ม ฮันนีเลมอน ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีเยี่ยมจากผู้บริโภค ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ เนสกาแฟวางแผนที่จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการดื่มกาแฟเย็นที่มีรสชาติดีเยี่ยมเพื่อการบริโภคทั้งในบ้านและนอกบ้าน และด้วยการลงทุนและพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง เนสกาแฟจะช่วยผลักดันอุตสาหกรรมกาแฟของไทยให้เติบโตต่อไป
โดยกลยุทธ์ที่สามเกี่ยวกับการนำความยั่งยืนมาเป็นหัวใจหลักของแบรนด์เนสกาแฟ เนสกาแฟจะมุ่งพัฒนาการปลูกกาแฟอย่างยั่งยืน ผ่านการเกษตรเชิงฟื้นฟู หรือ Regenerative Agriculture ภายใต้โครงการ “เนสกาแฟ แพลน 2030” ซึ่งเป็นโครงการด้านความยั่งยืนระดับโลกของเนสกาแฟ การเกษตรเชิงฟื้นฟูจะช่วยให้เกษตรกรพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เพิ่มผลผลิตและคุณภาพของเมล็ดกาแฟ รวมทั้งปกป้องและฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพและทรัพยากรธรรมชาติ
นอกจากการขับเคลื่อนการเกษตรเชิงฟื้นฟู เนสท์เล่ยังให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรในการให้ความรู้และการสนับสนุนด้านเทคนิคในการทำสวนกาแฟอย่างยั่งยืน รวมไปถึงการผนึกความร่วมมือกับองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน ประจำประเทศไทย หรือ GIZ ในการจัดทำหลักสูตร Farmer Business School ส่งเสริมเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟให้มีแนวคิดของผู้ประกอบการเกษตรกรรม นอกจากนี้ เนสท์เล่ยังให้การสนับสนุนโครงการประกวดสุดยอดกาแฟไทย เพื่อส่งเสริมการใช้การเกษตรเชิงฟื้นฟูในสวนกาแฟให้มากขึ้น พร้อมทั้งพัฒนาต้นกล้ากาแฟที่เหมาะสำหรับการเพาะปลูกในประเทศไทย และได้กระจายต้นกล้ากาแฟพันธุ์ดีเหล่านี้ให้กับเกษตรกรมาแล้วเกือบ 4 ล้านต้น
นายโจโจ้ กล่าวต่อไปว่า "ผมมีความยินดีที่จะแจ้งให้ทราบว่า ความทุ่มเทของเราในการขับเคลื่อนการเกษตรเชิงฟื้นฟูทำให้เนสกาแฟเป็นแบรนด์ที่มีการปลูกและจัดหาเมล็ดกาแฟอย่างยั่งยืน (Responsible Sourcing) 100% ได้รับการรับรองตามมาตรฐาน 4C (Common Code for the Coffee Community) ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่ใช้ในระดับโลก เพื่อการันตีว่าเมล็ดกาแฟของเราปลูกขึ้นตามมาตรฐานด้านความยั่งยืนระดับโลก ทำให้เราสามารถนำเสนอกาแฟคุณภาพสู่ผู้บริโภคชาวไทย"
นอกจากนี้ เนสกาแฟยังคงมุ่งมั่นสนับสนุนเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟไทยอย่างต่อเนื่อง ด้วยการรับซื้อเมล็ดกาแฟโรบัสต้าโดยตรงจากเกษตรกรไทยในราคาที่เป็นธรรม โดยอิงจากราคากาแฟในตลาดโลก เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของเกษตรกรและสร้างความเชื่อมั่นว่าผลผลิตของพวกเขาจะมีตลาดรับซื้อที่ไว้วางใจได้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
"กาแฟชาติพันธุ์" วิถีคนกับป่าที่ยั่งยืน สร้างเศรษฐกิจชนพื้นเมือง
"กาแฟไร้เมล็ดกาแฟ" นวัตกรรมอาหารสู้ภาวะโลกเดือด ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน
กากกาแฟเหลือ อย่าทิ้ง วิจัย พบ สามารถดูดซับยากำจัดวีชพืชตกค้างในดินได้แล้ว