จากข้อมูลของสหประชาชาติ ในปี 2566 มนุษย์ทั่วโลกผลิตขยะอิเล็กทรอนิกส์ 8 กิโลกรัมต่อคน หมายความว่า E-Waste ปริมาณ 61.3 ล้านตันจะถูกทิ้งภายในหนึ่งปี ซึ่งนั้นมันมากกว่าน้ำหนักของกำแพงเมืองจีนเสียอีก
ปัจจุบันมีขยะอิเล็กทรอนิกส์เพียงร้อยละ 17.4 เท่านั้นที่มีส่วนผสมของสารอันตรายและวัสดุล้ำค่าที่ยังสามารถใช้ได้ โดยจะถูกบันทึก รวบรวมไป บำบัด และรีไซเคิลอย่างเหมาะสม ส่วนที่เหลืออีก 50.6 ล้านตันจะถูกนำไปฝังกลบ เผา หรือซื้อขายอย่างผิดกฎหมาย และบำบัดด้วยวิธีที่ไม่ได้มาตรฐาน
แม้แต่ในยุโรปซึ่งเป็นผู้นำของโลกในการรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์ยังไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ มีรายงานอย่างเป็นทางการว่าขยะอิเล็กทรอนิกส์เพียง 54% ถูกรวบรวมและรีไซเคิล และประชาชนยังขาดความตระหนักรู้ ทำให้การพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียนสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นไปได้ยากลำบาก
ขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่มองไม่เห็น หรือสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่มักไม่เป็นที่รู้จักและไม่ได้รับการรีไซเคิลอย่างเหมาะสม ทำให้เกิดปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่มากขึ้น ซึ่งขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่มองไม่เห็นหมายถึง ขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่มีใครสังเกตเห็นเนื่องจากธรรมชาติหรือรูปลักษณ์ของมัน ทำให้ผู้บริโภคมองข้ามศักยภาพในการรีไซเคิล
เนื่องจากไลฟ์สไตล์ในปัจจุบันมุ่งเน้นไปที่เทคโนโลยีมากขึ้นเรื่อยๆ ผลิตภัณฑ์จำนวนมากในตลาดจึงมีส่วนประกอบไฟฟ้าหรืออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งหมายความว่าเมื่อสิ้นสุดอายุการใช้งานก็ไม่สามารถใช้ซ้ำหรือซ่อมแซมได้อีก ขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่มองไม่เห็นควรเป็นส่วนหนึ่งของการรีไซเคิลอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
ตัวอย่างของขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่มองไม่เห็นส่วนใหญ่พบในครัวเรือน ได้แก่ ของเล่นไฟฟ้าและไฟฟ้า บุหรี่ไฟฟ้า เครื่องมือไฟฟ้า อุปกรณ์ตรวจจับควัน อุปกรณ์สวมใส่ อุปกรณ์สมาร์ทโฮม จักรยานไฟฟ้า และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า หรือแม้แต่สายเคเบิล
จากการศึกษาในปี 2022 โดยสมาชิก UNITAR และ WEEE Forum ใน 6 ประเทศ ได้แก่ สหราชอาณาจักร อิตาลี โปรตุเกส โรมาเนีย สโลวีเนีย และเนเธอร์แลนด์ พบว่าสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดโดยเฉลี่ย 74 รายการในครัวเรือน 13 รายการถูกเก็บไว้ 9 รายการไม่ได้ใช้แต่ยังใช้งานได้หรือไม่ก็พัง อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์เสริมขนาดเล็ก เช่น หูฟัง รีโมทคอนโทรล อยู่ในอันดับต้นๆ ของผลิตภัณฑ์ที่สะสมไว้ หากอุปกรณ์เหล่านี้ยังคงอยู่ในลิ้นชักและตู้ ทรัพยากรเหล่านี้จะไม่สามารถกลับเข้าสู่วงจรการผลิตได้อีกและสูญหายไป
เมื่ออุปกรณ์และส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ถูกกำจัดอย่างไม่เหมาะสม และมักจะจบลงที่หลุมฝังกลบหรือเตาเผาขยะ จะทำให้เกิดสารพิษ ซึ่งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ประกอบด้วยสารอันตรายหลายชนิด เช่น ตะกั่ว ปรอท แคดเมียม และสารที่ทำให้ติดไฟ ซึ่งสามารถชะลงสู่ดินและน้ำ จะสร้างมลพิษต่อระบบนิเวศ และก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพของมนุษย์
อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์บางชนิดยังมีคุณค่าและมีโลหะที่มีค่า เช่น ทองคำ เงิน และทองแดง ตลอดจนองค์ประกอบที่หายากและเป็นกลยุทธ์ที่เรียกว่า Critical Raw Material ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใหม่ เมื่อขยะอิเล็กทรอนิกส์ไม่ได้รับการรีไซเคิลอย่างเหมาะสม วัสดุอันมีค่าเหล่านี้ก็จะตกเป็นของเสีย ดังนั้นการนำสิ่งเหล่านี้มาผลิตอุปการณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นการช่วยลดการใช้ทรัพยากร และลดความเสียหายจากการผลิตที่มีต่อสิ่งแวดล้อม
จากข้อมูลจาก School Change Makers พบว่าคนไทย 1 คนผลิตขยะเฉลี่ยวันละ 1.14 กิโลกรัม หากรวมทั้งประเทศ ไทยจะผลิตขยะต่อปีเทียบเท่ากับตึกใบหยก 2 มากถึง 140 ตึกเลยทีเดียว
หากพูดถึงขยะอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทยจะพบว่า ประเทศไทยมีขยะอิเล็กทรอนิกส์เกือบ 4 แสนล้านตันต่อ คิดเป็นร้อยละ 64.8 ของขยะอันตรายจากชุมชน ข้อมูลของปีพ.ศ. 2563 เผยว่าขยะถูกนำกลับไปรีไซเคิลแค่เพียงร้อยละ 7.1 เท่านั้น ส่วนที่เหลือก็ติดไปกับขยะมูลฝอยที่ถูกฝังกลบในกระบวนการกำจัดขยะ หรือไม่ก็อยู่ที่พ่อค้ารับซื้อของเก่า
ตามสนธิสัญญาบาเซิลที่ว่าด้วยการนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์ได้แต่ต้องได้รับอนุญาตจากกระทรวงอุตสาหกรรมและมีการจัดการอย่างถูกต้องไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม แต่หลายบริษัทที่รับขยะเข้ามานั้น ใช้ผลประโยชน์เพียงแค่หยิบมือจากกจำนวนที่นำเข้าและความหละหลวงของมาตรการ ทำให้ปริมาณขยะและสารอันตรายหลุดรอดออกมาอยู่บ่อยๆ ก่อให้เกิดมลพิษตามมา ดังนั้นการรีไซเคิลและการใช้ซ้ำเป็นการช่วยลดขยะและช่วยลดการเพิ่มมลพิษได้อีกทางหนึ่ง
ที่มา : weeeforum / Spring News
เนื้อหาที่น่าสนใจ :