ขยะอวกาศขนาดใหญ่ 3 ชิ้นพุ่งชนโลกทุกวัน และจะเลวร้ายลงเรื่อยๆ

รายงานที่เผยแพร่โดยสำนักงานอวกาศยุโรป (ESA) ระบุว่ามีดาวเทียมหรือจรวดเก่าอย่างน้อย 3 ดวงจะตกลงมายังโลกในทุกวัน และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งอาจส่งผลต่อความเปลี่ยนแปลงในแง่ลบต่อชั้นบรรยากาศของโลกและความปลอดภัยของมนุษย์บนพื้นดิน

โดยในปี 2024 เพียงปีเดียว มีการตรวจพบ "วัตถุอวกาศที่ยังสมบูรณ์" ที่กลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศและพุ่งตกสู่พื้นผิวของโลกมากถึง 1,200 ชิ้น ไม่นับรวม "เศษซากอวกาศ" อีกจำนวนนับไม่ถ้วน

แม้ว่าจะมีขยะจำนวนมากที่ตกลงมาในชั้นบรรยากาศ แต่ปริมาณขยะในอวกาศกลับยังคงเพิ่มขึ้นในช่วงปี 2024 โดยปัจจุบันมีวัตถุขนาดใหญ่กว่า 3 นิ้ว (10 เซนติเมตร) มากถึง 45,700 ชิ้นที่กำลังโคจรรอบโลกของเรา โดยหลายชิ้นเป็นส่วนประกอบของดาวเทียมที่ถึงจุดสิ้นสุดอายุการใช้งานตามระยะเวลาที่กำหนด

ยิ่งไปกว่านั้น การชนและการระเบิดของวัตถุชิ้นใหญ่ในวงโคจรหลายครั้งยังทำให้เกิดชิ้นส่วนขนาดเล็กที่แตกกระจายออกมาอย่างน้อย 3,000 ชิ้นภายใน 1 ปี ทั้งยังมียานอวกาศอีกราว 9,300 ลำที่กำลังโคจรอยู่รอบโลก ขณะที่หลายประเทศยังมีการปล่อยยานอวกาศเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

โจนาธาน แมคโดเวลล์ นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านขยะอวกาศ กล่าวว่า รายงานฉบับนี้คือสิ่งที่เน้นย้ำให้มนุษย์รู้ตัวว่า กิจกรรมในอวกาศของเราได้เพิ่มขึ้นถึงจุดที่ส่งผลกระทบจริงต่อสิ่งแวดล้อมทั้งในอวกาศและในชั้นบรรยากาศของโลก

แมคโดเวลล์กล่าวว่า หาก SpaceX ยังคงดำเนินแผนขยายกลุ่มดาวเทียม Starlink ให้มีจำนวนถึง 30,000 ดวง เราก็จะมีดาวเทียมกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ 15 ดวงต่อวัน ขณะที่ Amazon กำลังจะเริ่มต้นนำกลุ่มดาวเทียม Kuiper มาใช้ และจีนกำลังดำเนินโครงการกลุ่มดาวเทียมขนาดใหญ่ ดังนั้น ในอีก 5 - 10 ปีข้างหน้า เราจะเห็นจำนวนดาวเทียมที่ถูกปลดระวางเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย

ขณะที่ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อชั้นบรรยากาศนั้นรุนแรงกว่าที่เคยคาดคิด เนื่องจากดาวเทียมส่วนใหญ่ทำจากอะลูมิเนียม เมื่อถูกเผาไหม้จะทำให้เกิดสารมลพิษที่ทำลายชั้นโอโซนเพิ่มเข้ามาในชั้นบรรยากาศ และมีส่วนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางความร้อนในชั้นบรรยากาศชั้นบนได้

นอกเหนือจากผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดขึ้นแล้ว จำนวนดาวเทียมที่กลับเข้ามาสู่ชั้นบรรยากาศที่เพิ่มขึ้นอาจเพิ่มความเสี่ยงที่เศษซากบางส่วนจะตกลงสู่พื้นโลก ซึ่งคุกคามทรัพย์สินและชีวิตมนุษย์