SHORT CUT
การขนส่งทางถนนของไทย มีสัดส่วนปล่อยคาร์บอนประมาณ 97% ของการปล่อยคาร์บอนทั้งหมดในภาคขนส่ง ซึ่งเกินครึ่งมาจากธุรกิจขนส่งสินค้า
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า หากเทคโนโลยีถูกพัฒนาถึงจุดคุ้มค่าต่อการลงทุน รวมถึงกฏระเบียบของภาครัฐในการลดคาร์บอน ที่มีผลบังคับใช้นั้น น่าจะเห็นการปล่อยคาร์บอนในธุรกิจลดลงอย่างมีนัย
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผยธุรกิจขนส่งสินค้าทางถนนในไทยปล่อยคาร์บอนสู่โลกสูงมาก มีสัดส่วนปล่อยคาร์บอนราว 97% ของการปล่อยคาร์บอนทั้งหมดในภาคขนส่ง
การปล่อยคาร์บอนในไทยส่วนใหญ่มาจากหลากหลายภาคส่วน แต่…หลักๆอาจมาจากภาคขนส่ง คมนาคม ล่าสุด ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผยว่า ในปี 2565 ภาคขนส่งมีการปล่อยคาร์บอนอยู่ที่ 80 MtCO21 เป็นอันดับ 2 รองจากภาคพลังงานที่ปล่อย 88 MtCO2 ซึ่งการปล่อยคาร์บอนในภาคขนส่งกว่า 77 MtCO2 มาจากภาคขนส่งทางถนน และคาดว่าการปล่อยคาร์บอนในภาคขนส่งทางถนนจะยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกตามการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและการส่งออก สะท้อนจากมูลค่าการขนส่งทางถนนและรางในปี 2566 ที่กลับมาโตราว 7% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า หรือมีมูลค่าราว 3.8 แสนล้านบาท
การปล่อยคาร์บอนในภาคขนส่งทางถนนของไทย2 มาจาก 2 ส่วนหลัก ได้แก่
ทั้งนี้การปล่อยคาร์บอนของธุรกิจขนส่งสินค้าทางถนนส่วนใหญ่ 60% เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงของรถที่ใช้ในการขนส่ง หรืออยู่ใน Scope 1 ดังนั้น หากผู้ประกอบการต้องการลดคาร์บอนอย่างยั่งยืนคงต้องแก้ที่การปล่อยใน Scope 1 ผ่านการหันไปใช้รถที่ปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์
ส่วนการใช้ไฟฟ้าอยู่ใน Scope 2 ซึ่งมีสัดส่วนในการปล่อยคาร์บอนที่น้อย ดังนั้น การปรับลดคาร์บอนภายใต้ Scope นี้ อาจไม่ได้ส่งผลให้ปริมาณการปล่อยคาร์บอนโดยรวมลดลงได้มากนัก ขณะที่การปล่อยคาร์บอนทางอ้อมจากซัพพลายเชน หรือ Scope 3 ยังขึ้นอยู่กับความพร้อมของ Subcontractors หรือ partners ของธุรกิจ
อย่างไรก็ตามปัจจุบันผู้ประกอบการรายใหญ่บางรายได้ปรับใช้รถ EV ในการขนส่งสินค้าบ้างแล้ว เพื่อสอดรับเทรนด์ ESG และความต้องการของลูกค้า เช่น ธุรกิจ Last-mile delivery มีการนำรถ E-bike มาใช้จัดส่งในพื้นที่กรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ การนำรถเก่าบางส่วนไปดัดแปลงเป็นเครื่องยนต์ไฟฟ้า3 รวมถึงการนำรถบรรทุกไฟฟ้ามาใช้ขนส่งตามความต้องการของลูกค้าที่มีตลาดส่งออกไปต่างประเทศและได้รับผลกระทบจากมาตรการทางการค้าที่เข้มงวดด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
ในส่วนของการปรับไปใช้รถ EV ของธุรกิจยังเป็นการปรับเพียงบางเส้นทางที่เป็นการขนส่งระยะสั้น และยังติดอุปสรรค ได้แก่
1) ผู้ประกอบการส่วนใหญ่กว่า 93% เป็นผู้ประกอบการรายเล็ก4 ทำให้การปรับลดคาร์บอนในทันทียังทำได้ยาก เพราะมีข้อจำกัดด้านเงินทุน และความรู้ในการปรับตัว
2) เทคโนโลยี EV ในปัจจุบันที่ยังไม่ตอบโจทย์ภาคขนส่งสินค้าทางถนน จากสถานีชาร์จที่ยังไม่ครอบคลุม5 ข้อกังวลเกี่ยวกับประสิทธิภาพแบตเตอรี่ในระยะยาวและราคาขายต่อในตลาดมือสอง รวมถึงสมรรถนะและราคาของรถบรรรทุกไฟฟ้าที่ยังไม่สามารถแข่งขันกับรถบรรทุกสันดาปได้
จะเห็นได้จากในหลายประเทศ การปรับตัวของผู้ประกอบการขนส่งสินค้าทางถนนมีความก้าวหน้ามากกว่าของไทย จากการเร่งลงทุนพัฒนาเทคโนโลยี EV ให้รองรับการใช้งานในภาคขนส่งมากขึ้น เช่นจีน มีการแข่งขันพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่หรือรุ่นรถอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ประกอบการมีตัวเลือกหลากหลายรัฐบาลสหรัฐฯ มีการให้เงินสนับสนุนการสร้างเครือข่ายสถานีชาร์จให้ครอบคลุมทั่วประเทศภายในปี 2573สหภาพยุโรป ที่มีการลด/ยกเว้นค่าธรรมเนียมต่างๆ ทำให้การใช้รถ EV ได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการมากขึ้น
นอกจากจากการปรับตัวของผู้ประกอบการในธุรกิจขนส่งสินค้าทางถนนผ่านการปรับไปใช้รถ EV ในการขนส่ง คาดว่าน่าจะช่วยทำให้ผู้ประกอบการสามารถลดคาร์บอนลงได้เฉลี่ยคันละไม่ต่ำกว่า 15 tCO2 ต่อปี6
สุดท้ายศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังมองว่า หากเทคโนโลยีถูกพัฒนาให้คุ้มค่าต่อการลงทุน กลไกการลดคาร์บอนภาคบังคับของภาครัฐที่มีผลบังคับใช้ ก็มีโอกาสจะเห็นการลดการปล่อยคาร์บอนในธุรกิจนี้มากขึ้นเช่นกัน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
Schneider Electric เปิดมุมมอง AI จะช่วยโลกได้อย่างไร ในการลดการปล่อยคาร์บอน
หมัดเด็ดรับมือ Climate Change หนุนใช้ AI ช่วยอุตสาหกรรมลดปล่อยคาร์บอน
พายุเฮอริเคนอาจอัปความรุนแรงเป็นระดับ 6-7 หากไม่หยุดปล่อยคาร์บอน