นักวิชาการเผย ฝุ่นหนักกลับมาเพราะรัฐไม่ดำเนินการคุมฝุ่นพิษอย่างจริงจัง พร้อมเสนอให้ออกมาตรการรับมือฝุ่น โดยให้ Work from Home ขึ้นรถไฟฟ้าฟรีช่วงฝุ่นพิษรุนแรง
ฝุ่นพิษกลับมาเพราะไร้การดำเนินการคุมฝุ่นจริงจัง
พอลมหนาวเริ่มพัดโชย ก็เข้าสู่ฤดูกาลหมอกควันพิษในกรุงเทพฯ อีกครั้ง หลังจากสถานการณ์ฝุ่นควันล่าสุดในกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ขึ้นสู่ระดับสีส้ม และมีค่าฝุ่น PM2.5 เฉลี่ยทั่วกรุงอยู่ที่ 32.2 ไมโครกรัม/ลูกบาศ์กเมตร
จากสถานการณ์คุณภาพอากาศที่ย่ำแย่ลงอย่างรวดเร็ว สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย กล่าวว่า รัฐบาลชุดใหม่กำลังสอบตกอย่างชัดเจนในการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นควัน PM2.5
“ฝุ่น PM2.5 เริ่มกลับมาอีกครั้งหลังจากฤดูฝนจางลงและอากาศเย็นพัดลงมาจากแผ่นดินใหญ่ ความกดอากาศสูงปกคลุมพื้นดิน ทำให้ฝุ่นPM2.5ที่มาจากแหล่งกำเนิดต่างๆ ในกทม.สูงขึ้นถึงสีส้มหรือเกินมาตรฐานคือ37.5 ไมโครกรัม/ลูกบาศ์กเมตร” สนธิ กล่าว
“นี่เป็นผลมาจากการที่เรายังไม่มีมาตรการใดๆ ในการควบคุมการปล่อยมลพิษทางอากาศจากแหล่งต่างๆ ทั่วกทม. ดังนั้นเมื่อสภาพอากาศเริ่มเปลี่ยนจากฤดูฝน เข้าสู่ฤดูหนาว มวลอากาศเย็นที่พัดมาจากจีนจะกดไม่ให้ฝุ่นควันจากแหล่งมลพิษต่างๆ ในกทม. ระบายออกไปได้ และสะสมจนเกิดเป็นม่านฝุ่นควันหนา ทำลายทั้งสุขภาพและสิ่งแวดล้อม”
สนธิชี้ว่า แม้ว่าเราจะมีแผนปฎิบัติการวาระแห่งชาติป้องกันและลดฝุ่น PM2.5 มาตั้งแต่ปี 2562 ที่กำหนดให้มีทั้งแผนระยะสั้นและแผนระยะยาว ซึ่งกำหนดมาตรการต่างๆ ในการแก้ปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5 อย่างไรก็ตาม ในช่วงปีนี้กลับพบว่าแทบไม่มีการดำเนินการใดๆ ในการควบคุมแหล่งมลพิษรอบกรุงเลย
“จากข้อมูลกรมขนส่งทางบก ในช่วงปีที่ผ่านมา จำนวนรถยนต์ดีเซลในกทม. เพิ่มขึ้นเป็น 3.1 ล้านคัน จากเดิมที่มีอยู่ 2.8 ล้านคันในปี 2565 ซึ่งรถส่วนใหญ่ใช้น้ำมันยูโร4 ที่มีค่ากำมะถันสูงถึง 50ppm. นอกจากนี้ แผนในการเปลี่ยนรถราชการ รถขนส่ง ขสมก. ให้เป็นรถ EV ทั้งหมดตั้งแต่ภายในปี 2565 ก็ยังไม่ได้มีการดำเนินการ จึงทำให้เห็นว่าเมื่อสภาพอากาศเปลี่ยน อากาศไม่ถ่ายเท ค่าฝุ่นจึงสูงขึ้นทันที เพราะไม่มีการคุมการปล่อยมลพิษแต่ต้น” สนธิ กล่าว
นอกจากนี้ เขายังกล่าวอีกว่า ภาครัฐยังแทบไม่ได้ขยับมาตรการใดๆ ในการควบคุมการปล่อยมลพิษจากแหล่งกำเนิด ไม่มีการตั้งด่านควบคุมรถยนต์ควันดำ หรือแม้กระทั่งการควบคุมการปล่อยมลพิษจากโรงงาน ก็ยังมีโรงงานเพียง 5 โรงเท่านั้น ที่มาการตรวจวัดค่าคุณภาพอากาศที่ปลายปล่อง ซึ่งออนไลน์ลิงก์กับฐานข้อมูลของภาครัฐ
เสนอยาแรงรับมือพิษฝุ่น PM2.5
สนธิ กล่าวว่า เนื่องจากปัญหาฝุ่นควันที่กำลังทวีความรุนแรงอย่างรวดเร็วในช่วงปลายปีนี้ จากทั้งการขาดมาตรการดูแลแก้ไขปัญหาฝุ่นอย่างจริงจังจากภาครัฐ และปัจจัยธรรมชาติจากสภาวะเอลนีโญที่ทำให้ภูมิภาคแถบนี้มีความแห้งแล้งมากกว่าปกติ จนทำให้เกิดความเสี่ยงการเผาและฝุ่นควันไฟหนักกว่าปีก่อนหน้า เขาเสนอให้มีการใช้มาตรการเข้มข้นในการป้องกันดูแลสุขภาวะประชาชนในช่วงฤดูฝุ่นที่กำลังจะถึงนี้
“ผมเสนอให้ในช่วงเวลาที่ค่าฝุ่นสูงมากๆ ภาครัฐควรออกมาตรการให้คนออกจากบ้าน ออกมาใช้รถใช้ถนนมากที่สุด เช่นให้บริษัทห้างร้านต่างๆ อนุญาตให้พนักงานทำงานจากบ้าน หรือม่ก็ออกมาตรการขึ้นรถไฟฟ้าฟรี พร้อมจัดหาที่จอดรถสำหรับเชื่อมต่อไปใช้รถไฟฟ้า เพื่อเป็นการลดจำนวนรถยนต์ออกจากท้องถนน และลดการปล่อยมลพิษจากภาคขนส่ง” สนธิ กล่าว
สำหรับคนทั่วไป เขาแนะนำว่า ทุกคนควรตรวจเช็กคุณภาพอากาศประจำวันอย่างสม่ำเสมอ หากวันไหนมีค่าฝุ่นสูงกว่าเกณฑ์ปลอดภัยที่ 37.5 มิลลิกรัม/ลูกบาศก์เมตร ควรงดทำกิจกรรมนอกบ้าน หากจำเป็นต้องออกภายนอกควรสวมใส่หน้ากากอนามัยชนิด N95 ส่วนนักเรียนควรเข้าเรียนในห้องปลอดฝุ่น เพื่อป้องกันสุขภาพจากการสูดดมมลพิษฝุ่นเข้าไป
อนึ่ง ฝุ่นละออง PM2.5 มีอันตรายต่อสุขภาพมาก เพราะมีขนาดอนุภาคขนาดเล็กมาก สามารถถูกสูดเข้าลึกถึงทางเดินหายใจและปอด ก่อให้เกิดการระคายเคือง แสบจมูก ไอ จาม มีเสมหะ หอบหืด หัวใจวายเฉียบพลัน หลอดเลือดสมองตีบ และที่อันตรายที่สุดอาจถึงขั้นเป็นมะเร็งได้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง