svasdssvasds

แผนกำจัด “ซากแบตเตอรี่ EV” ไทยยังไร้ทิศทาง จับตาจีนลงทุนรีไซเคิล

แผนกำจัด “ซากแบตเตอรี่ EV” ไทยยังไร้ทิศทาง จับตาจีนลงทุนรีไซเคิล

จับตา! ทุนจีนแห่งลงทุนโรงงานรีไซเคิลกำจัด“ซากแบตเตอรี่รถ EV” ในไทย หลังไทยยังไม่มีแผนกำจัดที่ชัดเจน และไม่รู้จะไปในทิศทางไหน เอกชนชี้แบตฯชุดแรกเหลือเวลาอีก 5-7 ปี

SHORT CUT

  • สภาพัฒน์ แนะว่าไทยจะต้องทำแผนจัดการซากแบตเตอรี่ EV โดยเฉพาะแบตเตอรี่ลิเทียมฯที่จะเพิ่มในไทยมากถึง 7.8 ล้านตันต่อปี ในปี 2583  แนะนำ 3 แนวทางรับมือ
  • จับตา! ทุนจีนแห่งลงทุนโรงงานรีไซเคิล กำจัด“ซากแบตเตอรี่รถ EV” ในไทย หลังไทยยังไม่มีแผนกำจัดที่ชัดเจน
  • นอกจากนี้กำจัด“ซากแบตเตอรี่รถ EV” ในไทย ยังไม่รู้จะไปในทิศทางไหน ด้านเอกชนชี้แบตฯชุดแรกเหลือเวลาอีก 5-7 ปี

จับตา! ทุนจีนแห่งลงทุนโรงงานรีไซเคิลกำจัด“ซากแบตเตอรี่รถ EV” ในไทย หลังไทยยังไม่มีแผนกำจัดที่ชัดเจน และไม่รู้จะไปในทิศทางไหน เอกชนชี้แบตฯชุดแรกเหลือเวลาอีก 5-7 ปี

สิ่งหนึ่งที่นักสิ่งแวดล้อมกังวลในตอนนี้ก็คือการกำจัด “ซากแบตเตอรี่รถ EV” ทั้งในประเทศไทย และทั่วโลก โดย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ แนะว่าไทยจะต้องทำแผนจัดการซากแบตเตอรี่ EV โดยเฉพาะแบตเตอรี่ลิเทียมฯที่จะเพิ่มในไทยมากถึง 7.8 ล้านตันต่อปี ในปี 2583  และแนะนำ 3 แนวทางวางแผนจัดการอย่างเป็นระบบก่อนก่อมลพิษทางสิ่งแวดล้อมและส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ประชาชน

ทั้งนี้การเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดอุตสาหกรรมรถ EV ไทย อาจนำไปสู่ปัญหาขยะอันตรายที่มาจากรถยนต์ไฟฟ้าที่เสื่อมสภาพ โดยเฉพาะชิ้นส่วนหลักของรถยนต์ไฟฟ้าอย่างแบตเตอรี่ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลิเทียมไอออน ที่มีอายุการใช้งานเฉลี่ยเพียง 8 - 10 ปี อีกทั้งราคาแบตเตอรี่ดังกล่าวยังมีแนวโน้มถูกลงในอนาคตอย่างไรก็ตามผลสำรวจที่ผ่านมาระบุว่า ในปี 2563 ที่ผ่านมา ไทยมีแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนเสื่อมสภาพประมาณ 1.0 แสนตัน และอาจเพิ่มขึ้นเป็น 7.8 ล้านตันต่อปี ภายในปี 2583 ซึ่งการจัดการแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนที่ไม่เหมาะสมจะส่งผลต่อมลพิษทางสิ่งแวดล้อมและส่งผลเสียต่อสุขภาพ

แผนกำจัด “ซากแบตเตอรี่ EV” ไทยยังไร้ทิศทาง จับตาจีนลงทุนรีไซเคิล

“สภาพัฒน์” ระบุอีกว่า ประเทศไทยการกำจัดซากแบตเตอรี่ยังมีปัญหาเนื่องจากยังไม่มีกฎหมายและข้อบังคับการจัดการแบตเตอรี่จากรถ EV ที่เฉพาะเจาะจง โดยมีเพียงพระราชบัญญัติกองทุนส่งเสริมศักยภาพอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า พ .ศ.."  ซึ่งยังอยู่ระหว่างการจัดทำ และแม้จะมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องที่มีผลโดยอ้อม

สำหรับปัญหาหลักในการจัดการซากแบตเตอรี่รถ EV ของประเทศไทย คือ การขาดแนวทางในการจัดการซากแบตเตอรี่ที่ชัดเจนส่งผลให้การจัดการซากแบตเตอรี่ยังถูกจัดการรวมในประเภทขยะอันตรายทั่วไป ซึ่งจากข้อมูลของกรมควบคุมมลพิษ ปี 2566 พบว่า กว่า 1 ใน 4 ของขยะมูลฝอยทั้งหมด ถูกกำจัดอย่างไม่ถูกต้อง

ส่วนคำแนะนำ 3 ข้อจัด สำหรับการซากแบตฯของไทยให้มีความยั่งยืน มีดังนี้

  • 1.การศึกษาและกำหนดมาตรฐานการจัดการซากแบตเตอรี่ที่มีความรัดกุม ปลอดภัย และครอบคลุมวงจรชีวิตของแบตเตอรี่
  • 2.การสนับสนุนและส่งเสริมด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี การจูงใจให้มีการลงทุน
  • 3.การมีระบบติดตามแบตเตอรี่ที่เชื่อมโยงทุกภาคส่วนเข้าด้วยกัน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน

แผนกำจัด “ซากแบตเตอรี่ EV” ไทยยังไร้ทิศทาง จับตาจีนลงทุนรีไซเคิล

จากข้อมูลที่ได้นำเสนอข้างต้นจะเห็นได้ว่าประเทศไทยมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องหาแนวทาง และกำหนดทิศทางให้ชัดเจนในเรื่องของการกำจัด “ซากแบตเตอรี่รถ EV” โดยเบื้องต้น #SPRiNG มีโอกาสพูดคุยกับผู้บริหารโรงงานผลิตแบตเตอรี่รถ EV หลายแห่ง โดยเฉพาะนักลงทุนจากประเทศจีน ที่ระบุว่า มีแนวโน้มสูงมากที่ทุนใหญ่จากจีนแผ่นดินใหญ่จะสนใจเข้ามาโรงงานรีไซเคิลกำจัดซากแบตเตอรี่รถ EV ในไทย และต้องจับตาดูว่าในอนาคตอันใกล้นี้จะมีการลงทุนเกิดขึ้น

ด้าน นายศรุต อิงคะวัต ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) เปิดเผยกับ #SPRiNG ว่า อุตสาหกรรมยานยนต์EV ไทยโดยรวมมีผลการดำเนินงานใกล้เคียงกับปี2567 ที่ผ่านมาส่วนแบ่งตลาดของ EV ก็คาดว่าจะยังคงอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกันคือประมาณ 10% ส่วนแนวโน้มภาพรวมอยู่ในภาวะทรงตัว สำหรับการแข่งขันผู้ผลิตยานยนต์รายใหญ่ระดับโลกมีคาดหวังว่าตลาดโดยรวมจะทรงตัวหรือเติบโตเพียงเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้ความต้องการของผู้เล่นหลายรายที่จะได้รับส่วนแบ่งจากตลาดที่เล็กลงนี้ จะนำไปสู่การแข่งขันที่ดุเดือดอย่างแน่นอน

สำหรับตลาด EV ในประเทศไทยเริ่มเติบโตอย่างมีนัยสำคัญประมาณปี 2565  ซึ่งหมายความว่าอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ EV ชุดแรก (โดยทั่วไปคือ 8-10 ปี) ยังมีกรอบเวลาอีกประมาณ 5-7 ปี ดังนั้นการสร้างระบบรีไซเคิล และการกำจัดที่มีประสิทธิภาพยังพอมีเวลาในการวางแผนรับมือ ส่วนผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (OEMs) ทุกรายที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ไฟฟ้าจะต้องมีแนวทางรองรับเพื่อให้เป็นไปตามระเบียบข้อบังคับในปัจจุบันด้วยเช่นกัน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

 

 

 

related