DHL มองเห็นโอกาสใหม่ในประเทศไทยผ่าน 'Strategy 2030' ให้ความสำคัญกับยานยนต์ไฟฟ้า (EV) อีคอมเมิร์ซ (E-commerce) และการกระจายฐานการผลิต ผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสำคัญของภูมิภาค
DHL ผู้นำด้านโลจิสติกส์ระดับโลก ประกาศกลยุทธ์ ‘Strategy 2030 – Accelerate Sustainable Growth’ พร้อมยกระดับประเทศไทยสู่ศูนย์กลางโลจิสติกส์และซัพพลายเชนแห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก บริษัทเล็งเห็นศักยภาพของไทยในการเป็นฐานการผลิตสำคัญ รองรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และอีคอมเมิร์ซที่เติบโตอย่างรวดเร็ว
ในขณะที่ธุรกิจทั่วโลกกำลังมองหาซัพพลายเชนที่ยืดหยุ่นและรองรับการเปลี่ยนแปลง DHL มองว่าไทยมีศักยภาพมหาศาล ด้วยอุตสาหกรรมการผลิตที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะภาคยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ แม้ว่าเวียดนามและอินโดนีเซียจะได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในด้านการกระจายฐานการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านซัพพลายเชน แต่ศักยภาพการผลิตที่แข็งแกร่งของไทยในภาคยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ได้สร้างความได้เปรียบให้กับประเทศ กระทรวงพาณิชย์รายงานว่าการส่งออกของไทยเติบโตถึง 5.4% ตลอดปี 2567 ซึ่งนับเป็นยอดส่งออกที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจของประเทศ
การเปลี่ยนแปลงในภาคพลังงานหมุนเวียนและอุตสาหกรรมยานยนต์จำเป็นต้องมีโซลูชันโลจิสติกส์เฉพาะทาง ซึ่ง DHL มองเห็นโอกาสสำหรับประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐในการดึงดูดผู้ผลิตจากต่างประเทศให้เข้ามาตั้งฐานการผลิตในประเทศ
โซลูชันที่ครอบคลุมซัพพลายเชนด้านยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ของ DHL จะช่วยสนับสนุนให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ได้ถึง 30% ของปริมาณการผลิตยานยนต์ทั้งหมดภายในปี 2573
ตลาดอีคอมเมิร์ซในไทยกำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด คาดว่ามูลค่าจะเพิ่มขึ้นจาก 26,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2566 เป็น 32,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2568 DHL จึงมุ่งพัฒนาโซลูชันโลจิสติกส์แบบครบวงจรเพื่อช่วยให้ธุรกิจ SME ไทยกว่า 3.2 ล้านรายขยายตลาดสู่ระดับสากล ความสำเร็จของแบรนด์อย่าง Gentlewoman และ Fairtex แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของแบรนด์ไทยในการใช้ประโยชน์จากโซลูชันโลจิสติกส์แบบครบวงจร ช่วยให้เติบโตและแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โครงการสำคัญอย่าง GoTrade ของ DHL ได้พัฒนาศักยภาพให้แก่ผู้ประกอบการ SME กว่า 9,000 รายทั่วโลก สำหรับประเทศไทย DHL Express ได้พัฒนาโครงการนี้ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐที่สำคัญ อาทิ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (OSMEP) เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการไทยก้าวสู่โอกาสทางการค้าระหว่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
DHL ไม่ได้มองแค่การเติบโตของธุรกิจ แต่ยังให้ความสำคัญกับความยั่งยืน โดยตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ภายในปี 2593 ปัจจุบัน DHL Express ได้นำรถ EV มาใช้แล้วกว่า 50 คัน คิดเป็น 21% ของยานพาหนะทั้งหมด
DHL Express ยังสนับสนุนให้ลูกค้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขอบเขตที่ 3 ผ่านการใช้เชื้อเพลิงการบินที่ยั่งยืน (SAF) ผ่านบริการ GoGreen Plus
DHL Supply Chain ยังมีแผนขยายการใช้รถ EV กว่า 30 คัน มาใช้งานโดยร่วมมือกับลูกค้าในภาคธุรกิจค้าปลีก สินค้าอุปโภคบริโภค และภาคยานยนต์ และเตรียมพัฒนาคลังสินค้าที่ใช้พลังงานหมุนเวียน 100% แห่งแรกของไทยในปี 2568
DHL Global Forwarding แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาการขนส่งทางถนนอย่างยั่งยืนมากขึ้นทั่วภูมิภาคเอเชีย ผ่านการเพิ่มประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์ การขนส่งหลายรูปแบบ และการใช้ EV โดยคาดการณ์ว่า EV ที่ใช้ในประเทศไทยจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 85,000 กิโลกรัมต่อปี
ด้วยเครือข่ายการขนส่งที่ครอบคลุมทุกมิติ DHL มีพนักงานกว่า 9,300 คนในไทย พร้อมบริหารจัดการพื้นที่คลังสินค้ากว่า 678,000 ตารางเมตร และรถขนส่งกว่า 4,800 คัน นอกจากนี้ DHL Express ยังมีเที่ยวบินขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ 85 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ และศูนย์กระจายสินค้าทั่วประเทศกว่า 151 แห่ง ซึ่งช่วยให้ภาคธุรกิจไทยสามารถเข้าถึงตลาดต่างประเทศได้ง่ายขึ้น
DHL มุ่งมั่นที่จะผลักดันประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางซัพพลายเชนระดับภูมิภาค พร้อมเดินหน้าสร้างสรรค์โซลูชันโลจิสติกส์ที่ตอบโจทย์อนาคต เพื่อให้ธุรกิจไทยสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนและแข็งแกร่งในเวทีโลก