คอลัมน์ KEEP THE WORLD สรุปเนื้อหาเกี่ยวกับ "รถยนต์ไฟฟ้า" จากหนังสือ Future Trends Ahead 2025 เมื่อกระแสความเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้ากำลังรุดหน้า มีอะไรบ้างที่เราต้องรู้ ไทยจะได้อะไรจากคลื่นความเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้
ท่ามกลางวิกฤตโลกเดือด (Global boiling) ที่นับวันมีแต่จะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด อนึ่งว่าได้รับแรงหนุนมาจากนโยบายด้านส่ิงแวดล้อมของหลาย ๆ ประเทศ และได้รับแรงถีบจากเทคโนโลยีที่รุดหน้าอย่างรวดเร็ว
ดังนั้น ความเคลื่อนไหวของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าโลกย่อมส่งผลกระทบต่อ “ประเทศไทย” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คำถามคือเราล่วงรู้ หรือสามารถเท่าทันกระแสความเปลี่ยนแปลงนี้แค่ไหน อุตสาหกรรมรถ EV ในไทยจะได้รับผลกระทบอย่างไร มีโอกาสและความท้าทายอะไรบ้างที่เราต้องรู้
SPRiNG สรุปเนื้อหาจากหนังสือ Future Trends Ahead 2025 โดยจะโฟกัสเรื่อง “รถยนต์ไฟฟ้า” ในหัวข้อ ‘EV’ olution การปฏิวัติยานยนต์ไฟฟ้า’ โลกไปทางไหน? ไทยได้อะไรบ้าง? แต่ต้องบอกว่าภายในเล่มยังมี 62 เทรนด์สำคัญจาก 13 หมวดหมู่ ครอบคลุมเศรษฐกิจ, การเมือง, ความยั่งยืน, AI, Future skills, พฤติกรรมผู้บริโภค ฯลฯ ให้คุณได้เลือกสรรตามความสนใจ
หนังสือ Future Trends Ahead 2025 เสนอว่า จีนจะยังเป็นผู้นำในด้านการผลิต และการพัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้า แต่จะมีการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงขึ้น และในอนาคตอันใกล้จะมีการแบ่งขั้วห่วงโซ่อุปทานระหว่างโลกตะวันตก และตะวันออกที่ชัดเจนขึ้น
เมื่อพลิกไปดูส่วนแบ่งการตลาด ณ เวลานี้ ฟากโลกตะวันตก Tesla (สหรัฐฯ) มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 11.4% ตามมาด้วย Volkswagen (เยอรมนี) 7% ขณะที่จีนครองส่วนแบ่งการตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่ที่ 70% โดยมี BYD เป็นผู้นำตลาด
และหากว่ากันเรื่องการผลิต ระหว่างปี 2010-20122 มียอดผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสะสมทั่วโลกราว 28 ล้านคัน เติบโตเฉลี่ยปีละ 73% โดย 50% ผลิตในจีน 29% สหภาพยุโรป และ 11% สหรัฐฯ ทั้งนี้ ภายในปี 2030 ทั่วโลกจะผลิตรถ EV สะสมกว่า 200 ล้านคัน
จาก 28 ล้านคัน สู่ 200 ล้านคัน ถือเป็นเป้าหมายที่ค่อนข้างท้าทาย ปัจจัยที่จะผลักดันให้เติบโตไปสู่จุดนั้นมีอยู่ 2 ประการ ได้แก่
ปัจจุบันมีแบตฯ ยอดฮิตอยู่ 2 อย่าง ได้แก่ แบตฯ ลิเทียมไอออน (ค่ายจีนใช้) และแบตฯ ลิเทียมนิเคิลโคบอลต์อะลูมิเนียมออกไซด์ (Tesla ใช้) และ Toyota จะนำแบตฯ โซลิดสเตต ที่ว่ากันว่าสามารถวิ่งได้ไกลถึง 1,000 กิโลเมตรต่อการชาร์จ มาใช้ภายในปี 2027
วัสดุอย่างเหล็กจะถูกแทนที่ด้วยวัสดุน้ำหนักเบาอย่าง ‘อะลูมิเนียม’ และ ‘พลาสติก’ ซึ่งจะทำให้ขับขี่ดีขึ้น และประหยัดพลังงาน นอกจากนี้ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์จะเฟื่องสุดขีด เพราะรถไฟฟ้า 1 คันต้องใช้ชิปควบคุมกว่า 3,000 ชิ้น
หนังสือเล่มนี้เสนอว่าไทยเคยประสบความสำเร็จมาแล้วในอุตสาหกรรมรถยนต์สันดาป แต่เมื่อโลกเจอวิกฤตด้านสภาพอากาศ ยานพาหนะที่ปล่อยมลพิษต่ำอย่าง “รถยนต์ไฟฟ้า” จึงเข้ามาเป็นผู้เล่นสำคัญ และค่อย ๆ เติบโตอย่างต่อเนื่อง อันพอเห็นได้จากตัวเลขยอดจดทะเบียนรถ EV ดังนี้
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ภาครัฐคลอดนโยบายมากมายเพื่อสร้างระบบนิเวศ EV ให้ทันกับกระแสความเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า ยกตัวอย่างเช่น มาตรการ EV 2.5 ที่ให้เงินอุดหนุนซื้อรถ EV ยกเว้นภาษีนำเข้า 100% หรือการส่งเสริมการสร้างสถานีชาร์จทั่วประเทศ
เมื่อระบบนิเวศ EV ในไทยเริ่มงอกเงยขึ้น “โอกาส” จึงหลั่งไหลเข้ามาจากทั่วสารทิศ ทั้งในแง่การผลิต การส่งออก หรือแม้แต่การเป็นฐานผลิตรถ EV และเบตเตอรี่ที่สำคัญในภูมิภาคนี้
ข้อหลังสุดเห็นได้ชัดจากการที่ค่ายรถยนต์เข้ามาลงทุนในไทยแล้วเกือบ 20 โครงการ มูลค่ากว่า 1.2 แสนล้านบาท และในปี 2030 กำลังการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของไทยจะเพิ่มขึ้นจาก 9 หมื่นคันต่อปี เป็น 9 แสนคันต่อปี ส่วนแบตเตอรี่นั้นยังอยู่ในระยะเริ่มต้น แต่ไทยได้รับความสนใจจากรายใหญ่ของโลก อาทิ EA, CATL, SVOLT
อย่างที่กล่าวไปว่าไทยเคยประสบความสำเร็จอย่างมากในอุตสาหกรรมรถยนต์สันดาป แต่เมื่อโลกกำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งไทยยังอยู่ในระยะตั้งไข่ จึงมีความท้าทายหลายประการด้วยกันที่ต้องไล่เช็กลิสต์ให้ได้ ทั้งนี้ SCB EIC สรุปไว้ 3 แนวทาง ดังนี้
1. สร้างเครือข่ายห่วงโซ่อุปทานและระบบนิเวศ EV ให้ครบวงจรในประเทศ
2. สนับสนุนการพัฒนากระบวนการผลิต และคุณภาพสินค้า
3. ขยายโอกาสทางธุรกิจสำหรับกลุ่มเปราะบาง
สำหรับคนที่ต้องการเท่าทันเทรนด์โลก ปี 2025 สามารถค้นคว้า และดาวน์โหลดไฟล์ E-book ได้ที่หนังสือ Future Trends Ahead 2025
ข่าวที่เกี่ยวข้อง