ส่องพันธกิจของปตท. ที่ยังคงมุ่งมั่นสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน พร้อมเดินหน้าลุยเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาด รับเทรนด์โลก
ความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศเป็นสิ่งที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องมีการเตรียมความพร้อม และพัฒนา ด้วยการนำนวัตกรรม และองค์ความรู้ใหม่ๆ มาปรับใช้เพื่อให้ความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศไทยมีความมั่นคงยิ่งขึ้นไป รองรับการเติบโตของเมือง และเศรษฐกิจ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) คืออีกหนึ่งฟันเฟืองสำคัญที่ดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานประเทศ มาตลอดกว่า 45 ปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ปตท. ยังคงจะยืนหยัดมุ่งมั่นสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศต่อไปในอนาคต ในบทบาทของ ปตท. ในฐานะบริษัทพลังงานแห่งชาติ ที่เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ ควบคู่กับการดูแลรักษาความมั่นคงด้านพลังงาน เพิ่มศักยภาพการดำเนินธุรกิจภายใต้ยุคเปลี่ยนผ่านพลังงาน ยกระดับอุตสาหกรรมใหม่ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทย ร่วมอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้เติบโตอย่างยั่งยืน
การดำเนินธุรกิจใหม่ของ ปตท. จะเดินตามวิสัยทัศน์ “Powering Life with Future Energy and Beyond” ขับเคลื่อนทุกชีวิต ด้วยพลังแห่งอนาคต เพื่อให้เป็นไปตามเทรนด์ของโลก โดยปี 2030 หรือ พ.ศ. 2573 ปตท. ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนเป็น 15,000 เมกะวัตต์ หรือ 15 กิกะวัตต์ พร้อมเป็นศูนย์กลางการซื้อขายก๊าซธรรมชาติเหลวในภูมิภาคอาเซียน (Regional LNG Hub) รวมทั้งพัฒนาความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมการขับเคลื่อนธุรกิจใหม่ วางเป้าหมายสร้างกำไรจากธุรกิจใหม่ 30% ในปี 2573
พร้อมทั้ง มุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ของกลุ่ม ปตท. ในปี ค.ศ. 2050 ให้เร็วกว่าที่ประเทศตั้งเป้าไว้
ทั้งนี้ได้มีการปรับพอร์ตการลงทุนที่มุ่งเน้นพลังงานสะอาด การลงทุนอุตสาหกรรมใหม่ทั้งในและต่างประเทศ เช่น พลังงานหมุนเวียน พลังงานไฮโดรเจน ยานยนต์ไฟฟ้า วิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต ปัญญาประดิษฐ์ หุ่นยนต์ และเทคโนโลยีดิจิทัล รวมถึงเคมีชีวภาพครบวงจร เป็นต้น
ในส่วนของธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจรมีความก้าวหน้าทั้งการจัดตั้งโรงงานประกอบแบตเตอรี่ ธุรกิจจัดจำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้า และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า พร้อมทั้งบริการสถานีสลับแบตเตอรี่สำหรับจักรยานยนต์ไฟฟ้า และการขยายสถานีอัดประจุยานยนต์ไฟฟ้า (EV Charging Station) ครอบคลุมทั่วประเทศ รวมทั้งบริการยานยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจรระดับพรีเมียมในประเทศไทย มีบริการเช่ายานยนต์ไฟฟ้าสำหรับบุคคลทั่วไป (B2C) และองค์กร (B2B) บริการให้คำปรึกษา และบริการข้อมูลสถานีอัดประจุไฟฟ้า เพื่อยกระดับและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของไทยให้มีความเข้มแข็งและสมบูรณ์ยิ่งขึ้นตามเป้าหมายประเทศ
นอกจากนี้ยังได้ผลักดันเทคโนโลยีไฮโดรเจน ซึ่งจะเป็น Next Gen ของการใช้พลังงาน จากการที่ปัจจุบันต้นทุนยังคงสูง ปตท. จึงร่วมมือกับพันธมิตรเปิดสถานีนำร่องทดลองใช้เชื้อเพลิงไฮโดรเจนรถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง (FCEV) แห่งแรกในไทยที่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี โดยนำรถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง รุ่นมิไร (Mirai) ของโตโยต้า มาทดสอบการใช้งานให้บริการรถรับ-ส่งผู้โดยสารเพื่อเก็บข้อมูลเชิงเทคนิคที่ได้จากการใช้งานจริง และเป็นข้อมูลรองรับการขยายผลใช้งานในอนาคต และเตรียมทดลองใช้ไฮโดรเจนกับรถบรรทุก
นอกเหนือธุรกิจพลังงานอนาคต ปตท. ยังขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่องในกลุ่มธุรกิจวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต ทั้งด้าน ยา เทคโนโลยีทางการแพทย์ และโภชนาการเพื่อสุขภาพ โดยอินโนบิก (เอเซีย)
ไม่เพียงเท่านี้ ปตท. จะต่อยอดธุรกิจ LNG ในการนำความเย็นที่เป็นผลพลอยได้จากกระบวนการแปรสถานะLNG ไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ทั้งในด้านอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม ด้วยแนวคิดการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด โดยปัจจุบันได้ต่อยอดนำพลังงานความเย็นไปใช้ได้จริง เช่น นำไปปลูกพืชไม้เมืองหนาวทั้งดอกไม้เมืองหนาวและผลไม้เมืองหนาว อาทิ สตรอว์เบอร์รี ดอกทิวลิป ดารารัตน์ ไฮเดรนเยีย รวมถึงนำไปใช้ในกระบวนการแยกอากาศเพื่อผลิตก๊าซอุตสาหกรรม เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้า เพิ่มประสิทธิภาพของโรงแยกก๊าซธรรมชาติและโรงงานปิโตรเคมี รวมถึงสนับสนุนกลุ่มธุรกิจอาหารได้
ทั้งหมด คือ พันธกิจของ ปตท. ที่กำลังเดินหน้าเรื่องพลังงานสะอาด เพื่อความมั่นคงด้านพลังงานของไทย และรับเทรนด์รักษ์โลกที่กำลังมาแรง