บมจ. ซีเค พาวเวอร์ หนึ่งในผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนชั้นนำของอาเซียน ร่วมมือกับ BEM หรือ บมจ. ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ เซ็นสัญญาประวัติศาสตร์ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในการเดินรถไฟฟ้าระบบราง ครั้งแรกในประเทศไทย
พลังงานจากแสงอาทิตย์ ถือว่าเป็นแหล่งพลังงานหมุนเวียนที่มีราคาถูกที่สุดของโลก มีการคาดการณ์ว่าในอีกไม่ถึง 20 ปีข้างหน้านี้ ความต้องการพลังงานในกลุ่มประเทศอาเซียนจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว โดยได้มีการวิเคราะห์ว่าภาคการขนส่งจะเป็นผู้ใช้พลังงานรายใหญ่ที่สุดในอาเซียน และสูงกว่าภาคอุตสาหกรรม
โดยการจับมือระหว่าง บมจ.ซีเค พาวเวอร์ และ บมจ. ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) เตรียมจะใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในการเดินรถไฟฟ้าระบบรางเป็นครั้งแรกในไทย
ซึ่งโครงการนี้จะช่วยให้มีการใช้พลังงานสะอาดในการขนส่งมวลชนมากยิ่งขึ้นและยังสามารถทำให้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 300,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ อีกทั้งการร่วมมือครั้งนี้ยังสนับสนุนให้ประเทศไทยที่มีเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี พ.ศ. 2608 อีกด้วย
ซีเค พาวเวอร์ คือใคร?
บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) ผู้บุกเบิกการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในภูมิภาค มีองค์ความรู้เฉพาะทางที่กว้างขวาง เราพร้อมนำความเชี่ยวชาญในการออกแบบด้านวิศวกรรม ติดตั้งและก่อสร้างระบบไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ ตลอดจนดูแลเรื่องความพร้อมในการจ่ายไฟและการบำรุงรักษาหลังการติดตั้งอย่างครบวงจร พร้อมรองรับการขยายความร่วมมือในอนาคต”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
การร่วมมือครั้งระหว่าง ซีเค พาวเวอร์ กับ บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จะเกิดอะไรขึ้น?
ความร่วมมือนี้มีระยะเวลา 25 ปี เป็นการผนึกความร่วมมือระหว่างสองบริษัทในการนำองค์ความรู้และทรัพย์สินเพื่อใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในการเดินรถไฟฟ้าสายเฉลิมรัชมงคล (สายสีน้ำเงิน) และสายฉลองรัชธรรม (สายสีม่วง) ซึ่งมีระยะทางกว่า 71 กิโลเมตร ให้บริการขนส่งมวลชน 54 สถานีทั่วกรุงเทพฯ โดยจะมีการผลิตกระแสไฟฟ้าป้อนระบบรถไฟใต้ดินในปริมาณมหาศาลถึง 452 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมง หรือคิดเป็น 12% ของไฟฟ้าที่ประเมินว่ารถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินกับสายสีม่วงต้องใช้รวมกันทั้งหมด
ซีเค พาวเวอร์ คือ ผู้บุกเบิกการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในภูมิภาค ด้วยองค์ความรู้เฉพาะทางที่ครบวงจร เราพร้อมนำความเชี่ยวชาญ ในการออกแบบด้านวิศวกรรม ติดตั้งและก่อสร้างระบบไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ ตลอดจนดูแลเรื่องความพร้อมในการจ่ายไฟและการบำรุงรักษาหลังการติดตั้งอย่างครบวงจร
ปัจจุบัน มีกำลังผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 3,627 เมกะวัตต์ โดย 93% ของกำลังการผลิตมาจากพลังงานหมุนเวียน
ซีเค พาวเวอร์ มีโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์อยู่ทั้งหมด 9 แห่ง โดยมีโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์บางเขนชัย ซึ่งตั้งอยู่ที่ อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา เป็นโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดของบริษัท
องค์การพลังงานระหว่างประเทศ (The International Energy Agency: IEA) ประเมินว่าภายในปี 2569 กว่า 95% ของการลงทุนผลิตกระแสไฟฟ้าทั่วโลกจะเป็นการผลิตโดยใช้พลังงานหมุนเวียน โดยกว่าครึ่งหนึ่งจะเป็นการใช้พลังงานแสงอาทิตย์
ทั้งนี้ ต้นทุนที่ลดลงของการผลิตไฟฟ้าจากพลังแสงอาทิตย์ มาจากความได้เปรียบทางภูมิประเทศของเมืองไทยซึ่งตั้งอยู่ในแถบเขตเส้นศูนย์สูตร ซึ่งมีแสงแดดตลอดทั้งปี ส่งผลให้พลังงานแสงอาทิตย์เป็นทรัพยากรหมุนเวียนที่ทวีความสำคัญขึ้นเรื่อยๆ ในฐานะแหล่งพลังงานที่ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า
นายธนวัฒน์ ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า
“เป็นครั้งแรกที่มีการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในการขับเคลื่อนระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนทางรางของประเทศไทยในขอบเขตการทำงานขนาดใหญ่
เรารู้สึกภูมิใจที่เป็นรายแรกในประเทศไทยที่บุกเบิกนำไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้ในอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน การร่วมมือกับบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพครั้งนี้ จะทำให้ประเทศไทยมีการใช้งานไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น”
ดร.สมบัติ กิจจาลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM เปิดเผยว่า
“บริษัทมุ่งมั่นสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านการใช้พลังงานของไทยไปสู่พลังงานสะอาดและมีส่วนช่วยให้ประเทศไทยเราบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี พ.ศ. 2608
ความร่วมมือกับซีเค พาวเวอร์ ในครั้งนี้ จะทำให้เราสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 300,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ และยังช่วยลดต้นทุนค่าไฟฟ้าให้กับเราอีกด้วย”
ภายใต้ข้อตกลงนี้ พื้นที่ที่จะใช้รับพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อนำมาผลิตกระแสไฟฟ้ามีทั้งหมด 6 จุด ครอบคลุมพื้นที่กว่า 106,000 ตารางเมตร อาทิ หลังคาของศูนย์ซ่อมบำรุงรถไฟฟ้า
อาคารที่จอดรถ และอาคารสำนักงานของรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินและสายสีม่วง”
"โครงการนี้ถือเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความร่วมมือที่สำคัญ ซึ่งทั้งสององค์กรกำลังศึกษาแผนงานในการก่อสร้างและต่อยอดจากความร่วมมือประวัติศาสตร์นี้ เพื่อที่จะเพิ่มสัดส่วนการนำพลังงานจากแหล่งหมุนเวียนมาใช้กับระบบขนส่งที่กำลังเติบโตขยายตัว และมีความต้องการด้านพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง"
โดยคาดว่างานออกแบบจะแล้วเสร็จในเดือนมกราคม 2567 และจะเริ่มงานก่อสร้างในเดือนกุมภาพันธ์ปีเดียวกัน และจะเริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบในเดือนสิงหาคม 2567 ให้กับรถไฟฟ้าทั้งสายสีน้ำเงินและสายสีม่วง และจะทยอยส่งมอบจนเต็มระบบในเดือนกุมภาพันธ์ 2568
โครงการเหล่านี้เป็นการดำเนินงานที่สอดคล้องกับเป้าหมายระยะ 3 ปี ที่ทางซีเค พาวเวอร์ตั้งเป้าไว้เมื่อต้นปี 2565 ที่จะขยายขนาดธุรกิจให้ใหญ่ขึ้นมากกว่าเท่าตัวภายในปี 2567 พร้อมกับเพิ่มกำลังผลิตกระแสไฟฟ้าจาก 2,000 เมกะวัตต์เป็น 4,800 เมกะวัตต์
โดยกำลังผลิตที่เพิ่มขึ้นทั้งหมดจะมาจากพลังงานหมุนเวียน ได้แก่ พลังแสงอาทิตย์ พลังลม และพลังน้ำ โดยปัจจุบัน ซีเค พาวเวอร์ คือบริษัทที่มีสัดส่วนกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่ 93% สูงที่สุดในกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่ของประเทศไทย”