svasdssvasds

กรมโลกร้อนเผย ไทยหลุดอันดับประเทศเสี่ยงสูงจากผลกระทบโลกร้อน

กรมโลกร้อนเผย ไทยหลุดอันดับประเทศเสี่ยงสูงจากผลกระทบโลกร้อน

กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เผยข้อมูลจากรายงาน Climate Risk Index 2025 ชี้ ไทยหลุดจากอับดับ 9 ไปอยู่ที่ 30 ในรายชื่อประเทศเสี่ยงสูงด้านสภาพภูมิอากาศระยะยาวในช่วง 30 ปี แต่ยังต้องเตรียมพร้อมรับมืออากาศแปรปรวน

ดร.พิรุณ  สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยข้อมูลจากรายงาน Climate Risk Index 2025 ที่จัดทำโดยหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อม Germanwatch ระบุว่า ในช่วงปี 1993-2022 ภัยพิบัติทางธรรมชาติคร่าชีวิตผู้คนกว่า 765,000 คน และสร้างความเสียหายเกือบ 4.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ อันเป็นผลโดยตรงจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วมากกว่า 9,400 ครั้ง

กรมโลกร้อนเผย ไทยหลุดอันดับประเทศเสี่ยงสูงจากผลกระทบโลกร้อน

โดยผลกระทบที่สำคัญที่สุดจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว ได้แก่ พายุ (35%) คลื่นความร้อน (30%) และอุทกภัย (27%) ที่เป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิต ทั้งนี้ พายุได้ก่อให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจมากที่สุด ราว 2.33 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ รองลงมาคือ อุทกภัย ประมาณ 1.33 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

รายงานยังระบุว่า ในปี 2022 ประเทศที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากเหตุการณ์สภาพอากาศรุนแรง 10 อันดับ ได้แก่ ปากีสถาน เบลีซ อิตาลี กรีซ สเปน เปอร์โตริโก สหรัฐอเมริกา ไนจีเรีย โปรตุเกส และบัลแกเรีย ซึ่งทุกประเทศล้วนเผชิญกับพายุ น้ำท่วม และคลื่นความร้อนที่รุนแรง 

ในขณะที่ประเทศไทยในปี 2022 มีค่าดัชนีความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate Risk Index: CRI) อยู่ในอันดับที่ 72 ซึ่งหมายความว่าไทยได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วลดลง เมื่อเทียบกับปี 2019 ที่อยู่ในอันดับ 34

ส่วนค่าดัชนีความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศระยะยาว ที่ประเมินผลกระทบจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วในช่วงระยะเวลา 30 ปี (1993-2022) พบว่า ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 30 ซึ่งลดลงเมื่อเทียบกับ 4 ปีที่แล้ว ที่อยู่ในอันดับ 9 เช่นกัน

กรมโลกร้อนเผย ไทยหลุดอันดับประเทศเสี่ยงสูงจากผลกระทบโลกร้อน

โดยสาเหตุที่อันดับของประเทศไทยลดลงอย่างมาก มาจากหลายปัจจัย เช่น ตลอดช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ประเทศอื่น ๆ เผชิญกับความสูญเสียและความเสียหายจากภัยพิบัติทางสภาพอากาศที่รุนแรงกว่า และไทยได้รับผลกระทบที่เกิดขึ้นน้อยลงเนื่องจากการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ดร.พิรุณ กล่าวว่า  แม้ประเทศไทยจะไม่ติดอันดับ แต่จะยังคงเผชิญกับผลกระทบต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น ความร้อน ภัยแล้ง ฝนตกหนักผิดปกติ จนเกิดน้ำท่วม ดินถล่ม เป็นต้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเตรียมความพร้อมรับมือ เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพระบบเตือนภัยล่วงหน้าให้มีความแม่นยำ การสื่อสารที่เข้าถึงประชาชนอย่างทันท่วงที และการพัฒนาระบบการบริหารจัดการน้ำ รวมถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อช่วยลดอุณหภูมิโลก ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยมีภูมิคุ้มกันต่อภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง ท่ามกลางภัยพิบัติที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นในอนาคต