svasdssvasds

วิกฤต! เผยน้ำแข็งทะเลในขั้วโลกเหนือ-ขั้วโลกใต้ลดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์

วิกฤต! เผยน้ำแข็งทะเลในขั้วโลกเหนือ-ขั้วโลกใต้ลดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์

ข้อมูลจากดาวเทียมแสดงให้เห็นว่าน้ำแข็งทะเลบริเวณขั้วโลกเหนือ และขั้วโลกใต้ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการรักษาอุณหภูมิของโลกให้เย็นลง กำลังมีปริมาณน้ำแข็งต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ จากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่ทำให้น้ำแข็งเหล่านี้ละลาย

SHORT CUT

  • ข้อมูลจากดาวเทียมเผยน้ำแข็งทะเลขั้วโลกเหนือและใต้ลดลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 15.76 ล้านตารางกิโลเมตร ทำให้มหาสมุทรดูดซับความร้อนมากขึ้น ส่งผลให้โลกร้อนขึ้น
  • น้ำแข็งขั้วโลกทำหน้าที่สะท้อนแสงอาทิตย์ แต่การละลายทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและกระทบสัตว์พื้นถิ่น เช่น หมีขั้วโลกและเพนกวิน
  • รายงานจาก IPCC คาดการณ์ว่า อาร์กติกจะไม่มีน้ำแข็งทะเลในช่วงฤดูร้อนก่อนปี 2050 หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เราต้องลดการปล่อยคาร์บอนและรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อหยุดยั้งการเปลี่ยนแปลงนี้

ข้อมูลจากดาวเทียมแสดงให้เห็นว่าน้ำแข็งทะเลบริเวณขั้วโลกเหนือ และขั้วโลกใต้ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการรักษาอุณหภูมิของโลกให้เย็นลง กำลังมีปริมาณน้ำแข็งต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ จากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่ทำให้น้ำแข็งเหล่านี้ละลาย

น้ำแข็งทะเลบริเวณขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ ทำหน้าที่เปรียบเสมือนกับกระจกขนาดใหญ่ที่สะท้อนพลังงานจากดวงอาทิตย์กลับสู่อวกาศ แต่อุณหภูมิที่เพิ่มสูงได้ทำให้ชั้นน้ำแข็งดังกล่าวหดตัวลง ส่งผลให้มหาสมุทรด้านล่างดูดซับความร้อนมากขึ้นและทำให้โลกอุ่นขึ้นกว่าเดิม

วิกฤต! เผยน้ำแข็งทะเลในขั้วโลกเหนือ-ขั้วโลกใต้ลดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์  Credit Reuters

ปริมาณน้ำแข็งทะเลที่ลดลงครั้งนี้ ดูเหมือนจะเกิดจากปัจจัยร่วมกันของอากาศที่อบอุ่น อุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงขึ้นและกระแสลมแรงที่ทำให้แผ่นน้ำแข็งแตกตัวออกจากกัน

ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลหิมะและน้ำแข็งแห่งชาติของสหรัฐฯ (NSIDC) แสดงให้เห็นว่า ในช่วง 5 วันจนถึงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พบว่า พื้นที่น้ำแข็งทะเลของทวีปอาร์กติกและทวีปแอนตาร์กติกา มีปริมาณรวมกันอยู่ที่ 15.76 ล้านตารางกิโลเมตร

ตัวเลขดังกล่าวทำลายสถิติต่ำสุดในรอบ 5 วันก่อนหน้านี้ที่ 15.93 ล้านตารางกิโลเมตร ซึ่งบันทึกไว้ในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2023

วิกฤต! เผยน้ำแข็งทะเลในขั้วโลกเหนือ-ขั้วโลกใต้ลดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์  Credit Reuters

ปัจจุบัน น้ำแข็งทะเลในทวีปอาร์กติกอยู่ในระดับต่ำสุดเท่าที่เคยมีการบันทึกไว้ในช่วงเวลานี้ของปี ขณะที่น้ำแข็งทะเลในทวีปแอนตาร์กติกาลดลงใกล้แตะระดับต่ำสุดใหม่ ตามบันทึกข้อมูลดาวเทียมที่ย้อนกลับไปในช่วงปลายทศวรรษที่ 1970

การลดลงของน้ำแข็งทะเลในทวีปอาร์กติกจากภาวะโลกร้อน เป็นสิ่งที่ได้รับการยืนยันกันมานานแล้ว โดยพื้นที่น้ำแข็งในช่วงปลายฤดูร้อนลดลงจากค่าเฉลี่ย 7 ล้านตารางกิโลเมตรในทศวรรษ 1980 ลงมาอยู่ที่ 4.5 ล้านตารางกิโลเมตรในทศวรรษ 2010

วิกฤต! เผยน้ำแข็งทะเลในขั้วโลกเหนือ-ขั้วโลกใต้ลดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์  Credit Reuters

อย่างไรก็ตาม นับจนถึงช่วงกลางทศวรรษ 2010 น้ำแข็งทะเลของทวีปแอนตาร์กติกกลับเพิ่มขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ สวนทางกับคาดการณ์ที่ชี้ว่าน้ำแข็งทะเลบริเวณนี้จะลดลง

นับตั้งแต่นั้นมา ทวีปแอนตาร์กติกแสดงให้เห็นถึงปริมาณน้ำแข็งทะเลที่ต่ำเป็นพิเศษหลายต่อหลายครั้ง แม้จะยังคงมีความแปรปรวนตามธรรมชาติอยู่บ้างก็ตาม

ด้าน “วอลเตอร์ ไมเออร์” (Walter Meier) นักวิจัยอาวุโสจาก NSIDC เปิดเผยว่า ข้อมูลที่ได้รับในแต่ละปีบ่งชี้ให้เห็นว่าปรากฎการณ์เหล่านี้ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงชั่วคราว แต่เริ่มเกิดในลักษณะที่ถาวรขึ้น คล้ายกับที่เกิดขึ้นในทวีปอาร์กติก และแสดงให้เห็นว่าทวีปแอนตาร์กติกากำลังเข้าสู่ยุคใหม่ที่ปริมาณน้ำแข็งทะเลลดลง

น้ำแข็งทะเลในทวีปแอนตาร์กติกาค่อนข้างบางและเคลื่อนที่ได้ เนื่องจากถูกล้อมรอบด้วยมหาสมุทร ต่างจากน้ำแข็งทะเลในทวีปอาร์กติก บริเวณขั้วโลกเหนือ ที่ล้อมรอบด้วยแผ่นดิน ทำให้น้ำแข็งทะเลในซีกโลกใต้แตกตัวออกจากกันได้ง่ายกว่าจากอิทธิพลของกระแสลม

แต่อากาศและน้ำทะเลที่อุ่นขึ้น ดูเหมือนจะมีบทบาทสำคัญในการลดลงของน้ำแข็งทะเลครั้งล่าสุดในปี 2025 ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงปลายฤดูร้อนของซีกโลกใต้

ขณะที่ชั้นน้ำแข็งอาร์กติก หรือ น้ำแข็ง ซึ่งเคลื่อนที่จากผืนทวีปแอนตาร์กติก ออกสู่ทะเล แทนที่จะเป็นน้ำแข็งทะเล ดูเหมือนจะเผชิญกับอัตราการละลายที่รุนแรงเป็นพิเศษ เนื่องจากอุณหภูมิของอากาศที่พุ่งสูง โดย “ทอม เบรซเกอร์เดิล” (Tom Bracegirdle) นักวิจัยจาก British Antarctic Survey ระบุว่า สภาพอากาศในเดือนธันวาคมและมกราคม ดูเหมือนจะยิ่งเร่งให้พื้นผิวชั้นน้ำแข็งละลายเร็วขึ้นอย่างมาก

และอาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อปริมาณน้ำแข็งทะเลแอนตาร์กติก รวมถึง ภาวะโลกร้อนของมหาสมุทรที่ก็เป็นปัจจัยพื้นฐานของปรากฎการณ์ทั้งหมดนี้

จากการศึกษาล่าสุด พบว่า ปริมาณน้ำแข็งทะเลที่ต่ำสุดของแอนตาร์กติกในปี 2023 จะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงหนึ่งครั้งในรอบ 2,000 ปี หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่ในปี 2025 กลับพบว่าปริมาณน้ำแข็งทะเลกำลังลดลงจนใกล้จะทำลายสถิตินั้นอีกครั้ง

ขณะที่ในอีกฟากของโลก อาร์กติกควรจะอยู่ในช่วงที่น้ำแข็งทะเลเพิ่มขึ้นสูงสุดของปี ด้วยอุณหภูมิฤดูหนาวที่หนาวเย็นซึ่งช่วยให้น้ำในมหาสมุทรกลายเป็นน้ำแข็ง อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันพื้นที่น้ำแข็งทะเลของอาร์กติกกลับลดลงต่ำกว่าระดับต่ำสุดที่เคยบันทึกไว้ในช่วงเวลานี้ของปีที่ประมาณ 0.2 ล้านตารางกิโลเมตร

และมีแนวโน้มลดลงอย่างมากตั้งแต่ปลายปี 2024 โดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่น้ำแข็งในอ่าวฮัดสัน เริ่มแข็งตัวช้ากว่าปกติ เนื่องจากอุณหภูมิน้ำทะเลที่อุ่นผิดปกติ ทำให้ต้องใช้เวลานานขึ้นกว่าที่จะเย็นตัวลง

นอกจากน้ำทะเลที่อุ่นขึ้นแล้ว พายุบางลูกยังทำลายน้ำแข็งรอบทะเลบาเรนตส์และทะเลแบริ่งด้วย ซึ่งอาจส่งผลทำให้ความหนาของน้ำแข็งทะเลลดลงในระยะยาว

ขณะที่ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ปริมาณน้ำแข็งทะเลอาร์กติกลดลงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยมากขึ้นไปอีก หลังจากอุณหภูมิในบริเวณดังกล่าวพุ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยปกติถึง 20 องศาเซลเซียส เมื่อช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ทำให้เกิดสภาวะการละลายของน้ำแข็งในพื้นที่ อย่าง “สฟาร์บาร์” (Svalbard) ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ที่สร้างความกังวลให้กับนักวิทยาศาสตร์

อย่างไรก็ตาม ปริมาณน้ำแข็งทะเลที่ต่ำมากในช่วงฤดูหนาวนี้ไม่ได้หมายความว่าอาร์กติก จะเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายสุดไปตลอดทั้งปี 2025 เนื่องจากสภาพแวดล้อมในแถบขั้วโลกสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว

แต่ด้วยอัตราการร้อนขึ้นของอาร์กติกที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกเกือบ 4 เท่า ทำให้การลดลงของน้ำแข็งในทศวรรษต่อ ๆ ไปจึงแทบจะเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

รายงานของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติ (IPCC) คาดการณ์ว่า อาร์กติกจะไม่มีน้ำแข็งทะเลในช่วงปลายฤดูร้อนอย่างน้อย 1 ครั้งก่อนปี 2050 และผลการศึกษาจากสถาบันบางแห่ง บ่งชี้ว่าปรากฎการณ์ดังกล่าวอาจเกิดขึ้นเร็วกว่านั้นด้วยซ้ำ

การลดลงของน้ำแข็งทะเลที่ขั้วโลกทั้งสองไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสัตว์พื้นถิ่น อย่าง หมีขั้วโลกและเพนกวินเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อสภาพภูมิอากาศของโลก

น้ำแข็งทะเลที่บริเวณขั้วโลกได้สูญเสียประสิทธิภาพการทำความเย็นตามธรรมชาติไปแล้วประมาณ 14% ตั้งแต่ช่วงต้นถึงกลางทศวรรษ 1980 เนื่องจากพื้นที่น้ำแข็งที่สะท้อนแสงลดน้อยลง

น้ำแข็งทะเลยังมีบทบาทสำคัญในกระแสน้ำมหาสมุทร ซึ่งช่วยกระจยความร้อนทั่วโลก และทำให้พื้นที่ในหลายประเทศ รวมถึง อังกฤษและยุโรปตะวันตกเฉียงเหนือเผชิญสภาพอากาศอบอุ่นกว่าปกติด้วย   

 

ที่มา: BBC

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

related