ต่อไปจะกินอะไร เมื่อ 'ข้าว' ติดอันดับอาหาร 10 ชนิด ที่หายากเมื่อโลกร้อนขึ้น

อุณหภูมิของโลกที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบถึงสุขภาพของมนุษย์และสัตว์ต่างๆ เท่านั้น แต่ยังส่งผลถึงระบบนิเวศน์ที่ทำให้พืชหลายชนิดไม่สามารถให้ผลผลิตได้มากเท่าเดิม หรือที่เลวร้ายกว่านั้นคือไม่สามารถเพาะปลูกในพื้นที่เดิมได้อีกต่อไป รวมถึงผลผลิตอื่นๆ จากธรรมชาติที่เริ่มหาทานได้ยากขึ้นทุกที

และนี่คืออาหาร 10 ชนิด ที่จะยากภายใน 10 ปีข้างหน้านี้

เมล็ดกาแฟ

ปัจจุบันผู้คนทั่วโลกดื่มกาแฟกันมากกว่า 2,250 ล้านแก้วในทุกวัน แต่การปลูกกาแฟต้องอาศัยพื้นที่ที่มีอากาศค่อนข้างหนาวเย็นเพื่อคงคุณภาพและปริมาณของผลผลิต ทำให้สถาบันสภาพอากาศออสเตรเลียคาดการณ์วว่า หากโลกร้อนขึ้นอีก 2 องศาเซลเซียสภายในปี 2050 โลกจะสูญเสียครึ่งหนึ่งของพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับการปลูกกาแฟ ซึ่งนับเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของบรรดาคนรักกาแฟและเกษตรกรด้วย

น้ำผึ้ง

ผึ้งเป็นสัตว์อีกชนิดที่กำลังได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรง การศึกษาวิจัยของกระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ระะบุว่า ระดับคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มขึ้น ทำให้ระดับโปรตีนในละอองเรณูของดอกไม้ลดลง ส่งผลให้ผึ้งไม่ได้รับสารอาหารเพียงพอและสืบพันธุ์ได้น้อยลง และผึ้งเหล่านั้นก็ผลิตน้ำผึ้งได้น้อยลงด้วย ส่วนอากาศที่ร้อนขึ้นก็ส่งผลให้ดอกไม้หลายชนิดเติบโตได้ยากซึ่งทำให้ผึ่งยิ่งหาอาหารหรือแหล่งที่อยู่ที่เหมาะสมได้ยากกว่าเดิม

ข้าวสาลี

ขนมปังที่เป็นอาหารหลักของหลายประเทศ อาจจะมีราคาแพงขึ้นในอนาคต เมื่อส่วนผสมหลักอย่างข้าวสาลีเป็นพืชที่ไม่สามารถทนทานต่อสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงได้ดีนัก การศึกษาวิจัยล่าสุดของมหาวิทยาลัยแห่งรัฐแคนซัสพบว่าใน 10 ปีข้างหน้า ผลผลิตข้าวสาลีอย่างน้อยหนึ่งในสี่ของโลกจะสูญหายไปเนื่องจากสภาพอากาศที่เลวร้าย ความแห้งแล้ง และภาวะขาดแคลนน้ำ 

พีช

พีช เป็นพืชจะออกผลผลิตได้ดี หากได้รับอุณหภูมิต่ำกว่า 7 องศาเซลเซียสในช่วงฤดูหนาวของทุกปี ซึ่งนักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่าภายในปี 2030 คงแทบจะหาวันที่มีอุณหภูมิต่ำขนาดนี้ไม่ได้แล้ว ขณะที่เมื่อปีที่แล้วก็พบว่าผลผลิตของพีชเริ่มน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด และอาจจะยิ่งน้อยลงอีกในปีหน้า 

ใบชา

สภาพอากาศที่อบอุ่นและปริมาณน้ำฝนที่ตกไม่แน่นอนกำลังทำให้ผลผลิตชาลดลง และส่งผลให้รสชาติของชาจืดจางลงด้วย  ขณะที่ผลการวิจัยระบุว่า พื้นที่ปลูกชาทั่วโลกอาจลดลงถึง 40-55% ภายใน 10 ปีนี้

ข้าว

อย่างที่คนไทยคุ้นเคยกันดีว่า การทำนาข้าวต้องใช้น้ำปริมาณมาก แต่อุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นทำให้เกิดภัยแล้งบ่อยครั้งและรุนแรงมากขึ้น ส่งผลให้มีน้ำใช้น้อยลงและการปลูกข้าวทำได้ยากขึ้น ซึ่งนั่นอาจหมายถึงวิกฤติขาดแคลนอาหารของชาวเอเชียที่หลายประเทศกินข้าวเป็นอาหารหลักด้วย

เมเปิ้ลไซรัป

ผลิตภัณฑ์ขึ้นชื่อของแคนาดาที่ได้รับผลกระทบจากสภาพอาศที่อุ่นขึ้น แม้จะยังเพียงพอที่ให้ต้นเมเปิลเปลี่ยนแป้งที่สะสมไว้เป็นน้ำหวานได้  แต่ไม่เพียงพอที่จะกระตุ้นให้เกิดการแตกยอด อุณหภูมิที่สูงขึ้นนี้ทำให้น้ำหวานจากต้นเมเปิลลดน้อยลง ซึ่งหมายความว่าต้องใช้น้ำหวานมากขึ้นเป็นสองเท่าเพื่อผลิตน้ำตาลให้ได้ปริมาณ 70% ตามที่ต้องการ

อาหารทะเล

การที่แหล่งน้ำดูดซับความร้อนจากบรรยากาศ จนน้ำมีมีอุณหภูมิสูงขึ้น ทำให้สิ่งมีชีวตใมีโอกาสรอดชีวิตและสืบพันธุ์น้อยลงโดยเฉพาะกุ้งมังกรและปลาแซลมอนที่จะมีปริมาณลดลงและมีราคาแพงขึ้น ที่น่ากังววลกว่านั้นคือมีงานศึกษาวิจัยชิ้นหนึ่งที่คาดการณ์ว่าสต็อกอาหารทะเลทั่วโลกจะหมดลงภายในปี 2050

ถั่วลิสง

สภาพอากาศที่แปรปรวนไม่สม่ำเสมอ ได้ส่งผลเสียต่อถั่วลิสงอย่างต่อเนื่อง เพราะต้นถั่วลิสงต้องการอากาศที่อบอุ่นสม่ำเสมอเป็นเวลานานถึง 5 เดือน และฝนที่ตกอย่างพอเหมาะ แต่หลายพื้นที่ทั่ววโลกต้องเผชิญกับภัยแล้งและฝนที่ตกหนักผิดปกติ ทำให้การปลูกถั่วลิสงเป็นเรื่องยากมากขึ้น

ช็อคโกแลต

แม้ต้นโกโก้จะสามารถเติบโตในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิสูงได้ดี แต่มันก็เป็นพืชที่ต้องการน้ำฝนปริมาณมากเช่นกัน ปัญหาคือพื้นที่ปลูกโก้โก้ทั่วโลกกำลังเผชิญปัญหาฝนไม่ตก และหากเกษตรกรตัดสินใจย้ายไปปลูกในป่าฝนก็จะยิ่งทำให้โลกร้อนเพราะมีป่าน้อยกว่าเดิม หากเราไม่ชะลอการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเราอาจจะแทบผลิตช็อกโกแลตไม่ได้เลยในปี 2050 ซึ่งจะนำไปสู่การสูญเสียครั้งใหญ่ไม่เพียงแต่สำหรับผู้ที่ชื่นชอบช็อกโกแลตเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเกษตรกรรายย่อยที่หาเลี้ยงชีพด้วยเงินที่ได้จากเมล็ดโกโก้ด้วย