ออสเตรเลียเผชิญหน้ากับอากาศสุดแปลก ฤดูหนาวที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์

อากาศร้อนหน้าหนาว หรือฤดูหนาวที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตรืเกิดขึ้นแล้ว ที่ออสเตรเลีย ความแปลกประหลาดของสภาพอากาศนี้ถูกเชื่อมโยงโดยตรงกับภาวะโลกร้อน เกิดอะไรขึ้น?

เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2566 สำนักงานอุตุนิยมวิทยาออสเตรเลียประกาศบันทึกฉบับล่าสุดว่า ฤดูหนาวปี 2023 เป็นฤดูหนาวที่อบอุ่นที่สุดเป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่มีการบันทึกอย่างเป็นทางการในปี 1910 โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ยรายวันสูงกว่าค่าปกติในระยะยาว 1.53 องศาเซลเซียส

สำนักอุตุนิยมวิทยาระบุบนเว็บไซต์ว่า อุณหภูมิเฉลี่ยของประเทศในช่วงเดือนมิถุนายน-สิงหาคมอยู่ที่ 1.53 องศาเซลเซียส สูงกว่าค่าเฉลี่ยระหว่างปี 1961-1990 และสูงที่สุดนับตั้งแต่มีการบันทึกมา จากสถิติเดิม 1.46 องซาเซลเซียส

ในขณะเดียวกัน ปริมาณน้ำฝนในฤดูหนาวทั่วประเทศก็มีเกณฑ์ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของปี 1961-1990 ถึง 4.2% แม้ว่าบางรัฐจะยังคงมีปริมาณฝนตกชุกมากกว่าก็ตาม

ออสเตรเลียเผชิญหน้ากับอากาศสุดแปลก ฤดูหนาวที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์

โดยปีนี้ ภาคตะวันออกของทวีปจะร้อนเป็นพิเศษ โดยมีอุณหภูมิสูงกว่าค่าเฉลี่ย 2.03 องศาเซลเซียสทำลายสถิติก่อนหน้านี้ที่ 1.66 องศาเซลเซียสในปี 2013 โดยควีนส์แลนด์ แทสเมเนีย และนิวเซาธ์เวลส์ต่างประสบกับฤดูหนาวที่ร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์

ดร.ไซมอน เกรนเจอร์ (Simon Grainger) นักอุตุนิยมวิทยาอาวุโสของสำนักงานฯ กล่าวว่า สาเหตุที่ทำให้เกิดอากาศร้อนในฤดูหนาวมีอยู่ 2 สาเหตุ คือ หนึ่ง ระบบความกดอากาศสูงปกคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปทำให้มีแสงแดดและความแห้งมากขึ้น และสอง เป็นเพราะภาวะโลกร้อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ฤดูหนาวที่ร้อนอบอ้าวเกิดขึ้นในขณะที่พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศได้รับคำเตือนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คาดว่าจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากไฟป่าในช่วงฤดูใบไม้ผลิ

นักวิทยาศาสตร์หลายคนวิเคราะห์ว่า ความร้อนในฤดูหนาวค่อนข้างสอดคล้องไปในทางของภาวะโลกร้อนเป็นสำคัญ และคาดว่าจะดำเนินต่อไปในขณะที่เรายังคงทำให้โลกร้อนขึ้นด้วยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

นอกจากนี้ เอลนีโญมีความเชื่อมโยงกับเรื่องนี้ด้วย ในการทำให้อุณหภูมิน้ำทะเลเพิ่มสูงกว่าค่าเฉลี่ยในแถบเส้นศูนย์สูตรของมหาสมุทรแปซิฟิก และมีโอกาสมากถึง 70% ที่เอลนีโญจะโจมตีออสเตรเลียในปีนี้ที่นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ไว้ว่าจะเจอกับเอลนีโญในเดือนพฤศจิกายน แถมเสี่ยงให้เกิดไฟป่าได้ง่ายอีกด้วย

ที่มาข้อมูล

Reuters

The Guardian

ข่าวที่เกี่ยวข้อง