SHORT CUT
โดนัลด์ ทรัมป์ สร้างความปั่นป่วนอย่างหนักให้ตลาดการเงินทั่วโลก ส่งผลให้ความมั่งคั่งของมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในโลกหายไปกว่า 536 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเวลา 2 วัน
นโยบายขึ้นกำแพงภาษีของทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อตลาดหุ้นทั่วโลกในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้เกิดความผันผวนอย่างรุนแรงและส่งผลให้นักลงทุนเกิดความตื่นตระหนก
โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีซึ่งมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานและการค้าระหว่างประเทศ
จากการเปรียบเทียบข้อมูลระหว่างวันที่ 31 ธันวาคม 2024 และวันที่ 4 เมษายน 2025 พบว่าหุ้นในกลุ่ม Magnificent Seven เกือบทั้งหมดมีค่า P/E ลดลง ดังนี้
Bloomberg ระบุว่า เพียงสองวันทำการหลังการประกาศดังกล่าว มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของมหาเศรษฐีของโลกลดลงรวมกันถึง 536 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือเป็นการสูญเสียภายในสองวันที่มากที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกมา
อีลอน มัสก์ (Elon Musk) CEO ของ Tesla และ SpaceX ซึ่งรั้งตำแหน่งบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ได้รับผลกระทบหนักที่สุด โดยสูญเสียความมั่งคั่งไปถึง 31 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงสองวันดังกล่าว จากราคาหุ้น Tesla ที่ดิ่งลงอย่างหนัก
ท่ามกลางความกังวลต่อแนวโน้มการตอบโต้จากผู้บริโภคและผลกระทบจากภาษีต่อห่วงโซ่อุปทาน การลดลงนี้ส่งผลให้ SpaceX กลายเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงสุดของเขาชั่วคราว
ทำให้มูลค่าทรัพย์สินรวมของมัสก์ในปีนี้ลดลงไปแล้วกว่า 130 พันล้านดอลลาร์ แม้จะยังคงมีมูลค่าสุทธิสูงถึง 302 พันล้านดอลลาร์ก็ตาม หุ้น Tesla ยังคงปรับตัวลงต่อเนื่องในวันจันทร์ที่ผ่านมา
มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ Meta (Facebook, Instagram, WhatsApp) สูญเสียความมั่งคั่งไปมากกว่า 27 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หลังราคาหุ้น Meta ร่วงลงเกือบ 14% ในสองวัน
ผลกระทบนี้สะท้อนความเปราะบางของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่พึ่งพาตลาดและฐานการผลิตในเอเชียอย่างมาก ทั้งด้านชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์, ชิปประมวลผล และบริการ IT ซึ่งเป็นภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบจากกำแพงภาษีโดยตรง โดยรวมแล้วปีนี้ซักเคอร์เบิร์กสูญเสียไปแล้วกว่า 28 พันล้านดอลลาร์
เจฟฟ์ เบโซส (Jeff Bezos) ผู้ก่อตั้ง Amazon และเจ้าของ Washington Post มีทรัพย์สินลดลง 23.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ในช่วงเวลาเดียวกัน มูลค่าตลาดของ Amazon ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซระดับโลกที่พึ่งพาผู้ขายจากจีนกว่า 50% ใน Marketplace รวมถึงธุรกิจคลาวด์ (AWS) ที่ต้องใช้ฮาร์ดแวร์ซึ่งผลิตในเอเชีย ได้รับแรงกดดันอย่างหนัก ทำให้มูลค่าทรัพย์สินรวมของเบโซสในปีนี้ลดลงไปแล้ว 45 พันล้านดอลลาร์
นอกเหนือจากยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีแล้ว เบอร์นาร์ด อาร์โนลต์ (Bernard Arnault) เจ้าของอาณาจักร LVMH และเพื่อนเก่าแก่ของทรัมป์ ก็สูญเสียไปกว่า 11 พันล้านดอลลาร์ในช่วงสองวันดังกล่าว
จากผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานในเอเชียซึ่งเป็นฐานการผลิตสำคัญของอุตสาหกรรมสินค้าหรูและเครื่องนุ่งห่ม โดย LVMH เผชิญกับภาษี 20% จากสหภาพยุโรป และสูงสุด 54% ในบางประเทศของเอเชีย
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนที่ขาดทุน วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) ยังคงมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้น 12.7 พันล้านดอลลาร์ในปีนี้ แม้จะได้รับผลกระทบระยะสั้นมูลค่า 2.57 พันล้านดอลลาร์ในช่วงสองวันที่ผ่านมาก็ตาม
ล่าสุด Berkshire Hathaway ของเขาต้องออกมาปฏิเสธข่าวปลอมที่ทรัมป์แชร์บน Truth Social ว่าบัฟเฟตต์ชื่นชมนโยบายเศรษฐกิจของเขา
เหตุการณ์นี้ตอกย้ำว่าบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกมีความอ่อนไหวอย่างยิ่งต่อนโยบายการค้าและปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานในเอเชียสำหรับชิ้นส่วนสำคัญและการผลิต
เน้นย้ำถึงความไม่แน่นอนและความผันผวนที่สูงขึ้นในตลาดการเงินโลก ซึ่งนักลงทุนและบริษัทต่างๆ ต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายและเหตุการณ์ทางการเมือง
เหตุการณ์นี้นับเป็นกรณีศึกษาที่สำคัญสำหรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและนักลงทุนทั่วโลก ถึงผลกระทบอันมหาศาลที่นโยบายการค้าระหว่างประเทศสามารถส่งผลต่อมูลค่าบริษัทและความมั่งคั่งได้ในชั่วข้ามคืน
ที่มา : theguardian