เทคโนโลยีในปี 2022 และโลกดิจิทัลกำลังก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องในปี 2022 ชี้ให้เห็นว่าปีนี้เป็นปีทองของเทคโนโลยี ซึ่งมีเหตุการณ์สำคัญต่างๆมากมายของเทคโนโลยีทั่วโลก
เทคโนโลยี ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาในปี 2022 ถึงแม้จะมีเหตุการณ์ต่างๆไม่ว่าจะเป็นโควิด-19 สงครามรัสเซียยูเครน อาจทำให้การเติบโตของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีเป็นไปได้ยาก ส่งผลต่อการปลดพนักงาน , การล่มสลายของวงการคริปโทเคอร์เรนซี ซึ่งส่งผลต่อเศรษฐกิจทั่วโลก
แต่อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีก็ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีเหตุการณ์สำคัญในฝั่งของเทคโนโลยีทั่วโลก 10 เหตุการณ์ดังนี้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
1.อีลอน มัสก์ ครอบครองแพลตฟอร์มโซเชียลอย่าง “ทวิตเตอร์”
อีลอน มัสก์ ได้ครอบครองแพลตฟอร์มโซเชียลชื่อดังอย่างทวิตเตอร์ และกำลังจะเปลี่ยนแปลงองค์กรและรูปแบบของทวิตเตอร์ เห็นได้จากเหตุการณ์ที่อีลอน มัสก์ สั่งปลดพนักงานกว่า 50%
นอกจากนั้นยังมีการสร้าง Twitter Blue และการยืนยันตัวตนแบบเสียค่าใช้จ่าย และต้องการให้แพลตฟอร์มเป็น Free Speech หรือมีอิสระในการแสดงความคิดเห็นมากขึ้น พร้อมทั้งยังไล่บล็อกบัญชีปลอมและสแปมต่างๆบนทวิตเตอร์
แต่สุดท้ายแล้วอีลอน มัสก์ ได้ให้ความคิดเห็นไว้ว่า เขาไม่ต้องการเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มทวิตเตอร์ตลอดไป ในท้ายที่สุดแล้วเมื่อเขาพอใจจะทำการส่งต่อให้คนที่เหมาะสมบริหารต่อไป
2.เกิดการล่มสลายของ FTX แพลตฟอร์มชื่อดังของวงการคริปโทเคอร์เรนซี
FTX ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มคริปโทเคอร์เรนซีอันดับ 2 ของโลก ได้กลายเป็นอดีต เนื่องจากเหตุการณ์ที่เริ่มต้นตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน และกลายเป็นหนี้ทันที 107,000 ล้านบาท
เริ่มจากข่าวสารที่ CoinDesk ระบุเกี่ยวกับบริษัท Alameda Research ที่ได้ถือสกุลเงิน FTT ของ FTX ไว้กว่า 70% กำลังเข้าขั้นวิกฤต ทำให้นักลงทุนสืบจนพบว่า Alameda Research นั้นถูกก่อตั้งโดยเจ้าของ FTX เอง และนั่นทำให้นักลงทุนเกิดความสั่นคลอน
หลังจากนั้นไม่นาน Binance ก็ได้ออกมาประกาศว่าจะขาย FTT ทั้งหมดที่ถือไว้ นั่นยิ่งทำให้วงการสั่นคลอนยิ่งขึ้นไปอีก ทางเอลลิสันที่ทวีตตอบโต้ให้ข้อเสนอในการซื้อคืน FTT แต่ก็ถูกปฏิเสธในที่สุด
เจ้าของ FTX พยายามสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน โดยระบุถึงเงินสดที่เขาถือไว้กว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่สุดท้ายแล้วก็ได้บทสรุปว่า FTX นั้นมีการฉ้อโกง เจ้าของลาออกและยื่นล้มละลาย ในที่สุด FTX ก็เปิดเผยอย่างเป็นทางการว่า บริษัทมีเจ้าหนี้มากกว่า 50 แห่ง ด้วยจำนวนเงินมากกว่า 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 107,000 ล้านบาท
3.พนักงานฝั่งเทคโนโลยีถูกปลดออกหรือ Layoff กันอย่างต่อเนื่อง
เป็นเวลากว่าสองทศวรรษแล้วที่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีของสหรัฐฯ เป็นแหล่งหุ้นที่เฟื่องฟูและงานที่มีรายได้สูงที่น่าเชื่อถือ ในช่วงหลายสัปดาห์
พนักงานด้านเทคโนโลยีมากกว่า 35,000 คนใน 72 บริษัทถูกเลิกจ้างในเดือนนี้ เพิ่มเป็น 120,000 ตำแหน่งงานด้านเทคโนโลยีที่หายไปในปีนี้ตามข้อมูลของ layoffs.fyi
Meta บริษัทแม่ของ Facebook และ Instagram ปลดพนักงาน 11,000 คนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ประมาณ 13% ของพนักงานทั้งหมด , Twitter ปลดพนักงานราว 3,700 คน ซึ่งเป็นจำนวนกว่า 50% ของบริษัท และนี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของบริษัทยักษ์ใหญ่ แต่ยังมีอีกหลากหลายบริษัทมีการปลดพนักงานทั่วโลก
บริษัทหลายแห่งที่ทำแถลงการณ์สาธารณะได้อ้างถึงสาเหตุหลักสองข้อดังนี้
1.พวกเขาจ้างพนักงานจำนวนมากในช่วงที่มีโรคระบาด ซึ่งเป็นช่วงที่ผู้คนออนไลน์กันอย่างมาก ตอนนี้ ความเฟื่องฟูของอินเทอร์เน็ตได้จางหายไป ชีวิตออฟไลน์เริ่มดีขึ้น และพนักงานใหม่เหล่านั้นก็ดูแพงเกินไป
2.ภาวะเศรษฐกิจที่สั่นคลอนในวงกว้างทำให้แบรนด์ลังเลที่จะใช้จ่ายกับโฆษณาดิจิทัลมากขึ้น ซึ่งเป็นแหล่งรายได้ของบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง อัตราดอกเบี้ยที่สูงได้ยุติยุคเงินร่วมลงทุนที่มีราคาถูก
4.หุ้น Meta บริษัทยักษ์ใหญ่ที่เป็นเจ้าของทั้ง Facebook , Instagram , WhatsApp หุ้นตกลง 24% ต่ำสุดนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2016
บริษัท Meta รายงานการลดลงของรายได้ 2 ไตรมาสติดต่อกัน ซึ่งมาจากการลงทุนในเมตาเวิร์สด้วย ซึ่ง Meta ได้ผลิตหูฟัง VR และขาดทุนไปกว่า 9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ส่งผลทำให้นักวิเคราะห์หลากหลายคน เช่น Morgan Stanley และ John Blackledge วิเคราะห์ว่า Meta ใช้จ่ายมากเกินไป
ตั้งแต่ต้นปี หุ้น Meta ลดลงมากกว่า 61% ได้รับผลกระทบจากการแข่งขันจากคู่แข่งเช่น TikTok บวกกับการชะลอตัวของเม็ดเงินโฆษณาออนไลน์และความท้าทายจาก การอัปเดตความเป็นส่วนตัวบน iOS ของ Apple
5.Joe Biden ลงนามกฏหมาย CHIPS and Science Act ซึ่งเป็นกฏหมายเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่มีมูลค่ากว่า 280,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และลงทุนในเซมิคอนดักเตอร์ 52,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะส่งผลให้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีความก้าวหน้ารวดเร็วขึ้นจากเงินอุดหนุนของรัฐบาลสหรัฐ และการผลิตชิปและเซมิคอนดักเตอร์จะสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดีกว่าในปัจจุบัน
6.ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ฉลาดขึ้นและกำลังถูกพัฒนาและใช้งานอย่างต่อเนื่อง จนนักวิจัยเริ่มมีความกลัวถึงแง่ลบและผลเสียของความฉลาด
การแปลภาษาด้วย AI นั้นล้ำหน้าจนสามารถขจัดอุปสรรคด้านภาษา อาจารย์ในวิทยาลัยกำลังกังวลเรื่องระบบ AI เพราะตอนนี้ตัวสร้างข้อความ AI สามารถเขียนเรียงความได้เหมือนนักศึกษาระดับปริญญาตรี
ด้วยความฉลาดของ AI อาจกลายเป็นความน่ากลัวและมีความเสี่ยงสูง เช่น เทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งอาจก่อให้เกิดโรคระบาดร้ายแรง หรืออาวุธนิวเคลียร์ที่สามารถทำลายล้างโลกได้
ยกตัวอย่างได้จาก LamDA ของ Google หรือ DALL-E ที่เป็นกระแสทั่วโลกเนื่องจากความฉลาดของ AI ทำได้มากกว่าที่เคย และนั่นอาจเป็นสาเหตุของความเสี่ยงบางอย่างที่อาจเกิดขึ้นจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในอนาคต
7.อินเทอร์เน็ตเป็นเรื่องสำคัญกับทุกประเทศทั่วโลก ยกตัวอย่างจากเหตุการณ์ประท้วงในอิหร่าน
เมื่อทางการอิหร่านยุติการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในปี 2019 ท่ามกลางการประท้วงต่อต้านรัฐบาล ประชาคมระหว่างประเทศพยายามดิ้นรนเพื่อติดตามการสังหารพลเรือนที่ตามมา
ความวุ่นวายเกิดขึ้นในอิหร่านอย่างต่อเนื่อง เครือข่ายมือถือส่วนใหญ่ปิดตัวลง ตามรายงานของ Netblocks และ Meta ยืนยันว่าชาวอิหร่านประสบปัญหาในการเข้าถึงบางแอปฯ รวมถึง WhatsApp และ Instagram แม้ว่าจะไม่ใช่การปิดอินเทอร์เน็ตทั้งหมดในปี 2019 และนั่นเป็นฝันร้ายของชาวอิหร่าน
การประท้วงชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีที่มีความจำเป็นต้องใช้ติดต่อ ขอความช่วยเหลือในสถานการณ์คับขัน รวมถึงสถานการณ์ปกติก็ตาม เหตุการณ์นี้ทำให้คนทั่วโลกรับรู้ได้ถึงความสำคัญของอินเทอร์เน็ตมากขึ้น
8.Netflix ขึ้นราคาเป็นครั้งที่ 6 นับตั้งแต่ปี 2014
การขึ้นราคาของ Netflix ชี้ให้เห็นถึงความนิยมของการดูสตรีมมิงภาพยนตร์ออนไลน์ และการเติบโตของสื่อบันเทิงออนไลน์ แม้จะขึ้นราคาเป็นจำนวนไม่มาก แต่นี่ก็เป็นสัญญาณที่ทำให้เห็นว่าคนทั่วโลกยอมจ่ายเพื่อเลือกดูภาพยนตร์บนแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น
9.การปล่อยจรวด Armetis-1 ขององค์กร NASA ประสบความสำเร็จ
ซึ่งทำให้เห็นว่าการที่มนุษย์จะสามารถเข้าถึงดวงจันทร์ ใกล้ขึ้นไปอีกจากการปล่อยจรวด SLS (Space Launch System) ซึ่งเป็นจรวดขนส่งลำใหญ่ที่สุดของ NASA ความสูง 98 เมตร มีขึ้นหลังจากที่เลื่อนมา 2 ครั้งตั้งแต่เดือนสิงหาคม โดยจรวดได้ปล่อยแรงขับกว่า 4.1 ล้านกิโลกรัม ก่อนพุ่งออกจากแท่นปล่อยสู่ห้วงอวกาศและประสบความสำเร็จ
10.กล้องโทรทรรศน์อวกาศ ได้ภาพที่ทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์
เจมส์ เวบบ์ ซึ่งเผยให้เห็นความมหัศจรรย์ของจักรวาลของเราอย่างละเอียดมากขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา
ในวันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม ประธานาธิบดีโจ ไบเดนแชร์ภาพเปิดตัวของเจมส์ เว็บบ์ โดยแสดงให้เห็นกระจุกกาแลคซีที่เรียกว่า SMACS 0723 ภาพดังกล่าวแสดงให้เห็นมุมมองที่ลึกที่สุดของเอกภพเท่าที่เคยถ่ายมา เผยให้เห็นแสงที่เปล่งออกมาเมื่อ 13.5 พันล้านปีก่อน ซึ่งอยู่ใกล้มาก จุดเริ่มต้นของเอกภพโดยประมาณเมื่อประมาณ 13.8 พันล้านปีก่อน อ้างอิงจาก NASA
อีกหนึ่งเทคโนโลยีที่น่าจับตามองนั่นคือ "นิวเคลียร์ฟิวชัน" นักวิจัยสร้างปฏิกิริยาฟิวชันสำเร็จ เปิดทางสู่พลังงานสะอาด ไม่มีวันสิ้นสุด
ในอนาคตสมาคมนิวเคลียร์แห่งประเทศไทยนิยามนิวเคลียร์ฟิวชันว่าเป็นกระบวนการที่ทำให้เกิดพลังงานในดวงอาทิตย์และดาวฤกษ์ ที่แกนกลางของดวงอาทิตย์มีอุณหภูมิ 10-15 ล้านเคลวิน
ทำให้ไฮโดรเจนกลายเป็นฮีเลียมจากปฏิกิริยาฟิวชัน และทำให้ดวงอาทิตย์มีพลังงานสูงมากพอที่จะทำให้เกิดการเผาไหม้ได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลทำให้สิ่งมีชีวิตบนโลกดำรงอยู่ได้
นักวิจัยสหรัฐฯ ยืนยันว่าได้ก้าวผ่านอุปสรรคสำคัญ ในการสร้างพลังงานที่มากขึ้นได้สำเร็จจากการทดลองปฏิกิริยาฟิวชัน แต่ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าหนทางสู่การสร้างพลังงานจากปฏิกิริยาฟิวชันที่จะนำไปเป็นไฟฟ้าใช้ในครัวเรือนได้นั้นยังอีกห่างไกล
อีกความท้าทายสำคัญก่อนจะไปถึงจุดนั้น ก็คือการลดค่าใช้จ่ายการสร้างพลังงานจากนิวเคลียร์ฟิวชัน และขยายปริมาณพลังงานที่สร้างออกมาได้
ที่มา : vox.com , cnet.com , npr.org , cnbc.com , vox.com , thenextweb.com , engadget.com , livescience.com , bbc.com