ทำไมอุปกรณ์ Smart Home ลำโพงอัจฉริยะ ราคาถูก ? ทั้งที่มันฉลาด ฟังคนรู้เรื่อง

ย้อนกลับไปในปี 2013-2014 ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง Google และ Apple ปล่อยฟีเจอร์ที่ทำให้แอปฯและมือถือของตัวเองสามารถฟังคำสั่งเสียงของมนุษย์ได้เป็นครั้งแรกในระดับโลก และในระยะเวลาต่อมาไม่นาน Amazon ยักษ์ใหญ่แพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซ ก็ปล่อยสิ่งที่มาปฎิวัติวงการที่อยู่อาศัย อย่าง Amazon Echo ลำโพงอัจฉริยะ ราคาถูก

ลำโพงอัจฉริยะ Amazon Echo เป็นอุปกรณ์ที่เราสามารถออกคำสั่งด้วยเสียง ทั้งพูดคุย ตั้งคำถามและสั่งการอุปกรณ์อัจฉริยะอื่น ๆ ในบ้าน เช่น อุปกรณ์ iOT สั่งการให้เปิดไฟ ปิดแอร์ เปิดม่าน ทำได้ด้วยเสียงทั้งหมด ภายใต้ระบบปัญญาประดิษฐ์ที่แอมะซอนเรียกว่า Alexa

แต่ทำไม Amazon ถึงสามารถทำอุปกรณ์อัจฉริยะได้ในราคาถูก ทั้งที่ Apple ทำฟีเจอร์เดียวกันในราคาที่สูงกว่าหลักหลายหมื่นได้ ?

ทำไมอุปกรณ์ Smart Home ถึงราคาถูก ? 

ต้องย้อนกลับไปที่วิธีการทำงานของ อุปกรณ์ Smart Home ก่อนว่ามันทำงานอย่างไร ? ส่วนใหญ่อุปกรณ์อัจฉริยะเหล่านี้มันจะเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ทั้งเพื่อการเชื่อมต่อที่สมบรูณ์และความสามารถที่จะทำให้มัน "ฉลาด" ได้ 

หากเราสำรวจภายใน ลำโพงอัจฉริยะ จะพบว่ามันไม่ได้มีระบบประมวลผล หรือ ชิปตัวแรง ๆ เพื่อทำให้มันคิดเองได้ว่า คุณพูดว่าอะไร แต่มันอาศัยอินเทอร์เน็ตบ้านของคุณเพื่อรับข้อความและส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์เพื่อประมวลผลให้เร็วที่สุดและสังการออกมาเป็นคำสั่ง

คลิปข่าวที่เกี่ยวข้อง

ปัจจุบัน Alexa มีอยู่ในทุกอุปกรณ์อัจฉริยะของ Amazon ทั้ง แว่นตา ลำโพง รีโมทและอื่น ๆ สำหรับประเทศไทยถ้ามองให้ใกล้เข้ามาหน่อย Smart TV ก็มีระบบเหล่านี้ที่คอยประมวลผลอยู่ เช่นเดียวกัน

รายการของสำนักข่าว VOX นำเสนอประเด็นถึงข้อกังวลที่จะเกิดขึ้นจากการใช้อุปกรณ์อัจฉริยะ ที่ทำให้บ้านเราเป็น Smart Home คือ เรื่องของ ความเป็นส่วนตัว Privacy เพราะอุปกรณ์เหล่านี้ไม่ได้ประมวลผลในตัวมันเอง แต่ส่งเสียงของเราไปยังที่อื่นอีกที และจะบันทึกไว้ จนกว่าเราจะลบ นั่นแปลว่าหากไม่มีการป้องกันด้านไซเบอร์มากเพียงพอเสียงของเราก็อาจหลุดไปได้

มันน่ากลัวขนาดนั้นจริงเหรอ ?

ถ้าอุปกรณ์อัจฉริยะทำหน้าที่แค่บันทึกเสียงและส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์เพื่อประมวลผล นั่นแปลว่า พนักงานของบริษัทก็สามารถเข้ามาฟังเสียงของเราได้ แม้จะไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อการดักฟัง แต่เพื่อปรับแต่งระบบให้ตอบได้อย่างแม่นยำมากขึ้น แต่ก็ยังขนลุกอยู่ดี โดยเฉพาะถ้าคุณเอาไว้ในห้องนอน ?

คำถามต่อมาคือ แล้วองค์กรพวกนี้ทำอุปกรณ์ราคาถูกมาให้เราใช้แล้วเขาได้อะไร ? คำตอบง่าย ๆ คือ พวกเขาต้องการข้อมูลการใช้งานจากพวกเรา เช่น พวกเราชอบทำเมนูอะไร แล้วยิงโฆษณามาใส่มือถือของเราแบบที่เรานึกว่าเขาเชื่อมจิตเรา ซึ่งนี่แหละ คือค่าใช้จ่ายที่แท้จริงที่เราจะสูญเสียไป แม้ว่าองค์กรเหล่านี้จะบอกว่าไม่ได้เอาข้อมูลเราไปใช้ยิงโฆษณาก็ตาม

ดังนั้นหากคุณวางแผนจะใช้งานสิ่งเหล่านี้ขอให้ศึกษาข้อมูลและความเสี่ยงให้ดี เพื่อความปลอดภัยและสิทธิการเป็นเจ้าของข้อมูลของตัวเอง ก่อนที่ยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีจะเข้ามาล้วง(ข้อมูล)คุณถึงตัว

อ้างอิง [1]