Disney+, Hulu และ ESPN+ จะยกเลิกการแชร์รหัสผ่านแล้ว

หลัง Netflix เจ้าพ่อแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งชื่อดัง ใช้นโยบายห้ามผู้ใช้งานแชร์รหัสผ่านและประสบความสำเร็จ มีผู้ใช้บริการและรายได้เพิ่มขึ้น ล่าสุด Disney ก็เอาด้วย เตรียมแบนการแบ่งปันรหัสผ่านในบริการสตรีมมิ่งตามรอยของคู่แข่ง

ผู้ใช้บริการแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งเตรียมควักเงินเพิ่ม หลัง Disney เจ้าของ Hulu Disney+ และ ESPN+ ปรับนโยบายครั้งใหญ่เพื่อหารายได้เพิ่ม หลังการแข่งขันในตลาดรุนแรง เตรียมห้ามผู้ใช้งานแชร์รหัสผ่าน หวังเพิ่มฐานรายได้ตามรอย Netflix

ในอีเมลที่ส่งถึงสมาชิก Hulu เมื่อวันพุธ บริษัทระบุว่าจะเริ่ม "เพิ่มข้อจำกัดในการแบ่งปันบัญชีของคุณนอกบ้าน" ตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม 2024

ข้อตกลงผู้ใช้ของ Hulu พร้อมด้วยข้อตกลงสำหรับ Disney+ และ ESPN+ มีข้อห้ามอย่างชัดเจนในการแอบอ้างเป็นบุคคลอื่นโดยใช้ชื่อผู้ใช้หรือรหัสผ่านของพวกเขา โดยเงื่อนไขข้อตกลงระบุ ว่า

“คุณตกลงที่จะไม่แอบอ้าง หรือบิดเบือนความจริง เกี่ยวกับความเกี่ยวข้องของคุณกับบุคคลหรือนิติบุคคลใดๆ รวมถึงการใช้ชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน หรือข้อมูลบัญชีอื่นๆ ของบุคคลอื่น หรือชื่อหรือความคล้ายคลึงของบุคคลอื่น หรือให้รายละเอียดอันเป็นเท็จแก่บิดามารดาหรือผู้ปกครอง”

Disney+, Hulu และ ESPN+ จะยกเลิกการแชร์รหัสผ่านแล้ว

ข้อตกลงผู้ใช้งานทั้งสามแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งได้รับการอัปเดตครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2024 ที่ผ่านมา แม้ว่าจะไม่ชัดเจนว่า เมื่อใดที่จะมีการเพิ่มข้อความเกี่ยวกับการแบ่งปันรหัสผ่านในข้อตกลงสำหรับ Disney+ และ ESPN+

ข้อตกลงผู้ใช้ระบุว่า บริษัทอาจวิเคราะห์บัญชีของผู้ใช้ เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาปฏิบัติตามกฎการแบ่งปันรหัสผ่าน ผู้ฝ่าฝืนข้อกำหนดอาจถูกจำกัดหรือยุติบัญชีของตนตามข้อตกลง

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวได้รับการบอกเป็นนัยโดย Bob Iger ซีอีโอของ Disney ตั้งแต่เดือนสิงหาคมปีที่แล้ว โดยกล่าวว่าบริษัทวางแผนที่จะแก้ไขปัญหาการแบ่งปันรหัสผ่านในปี 2024

ความเคลื่อนไหวของ Disney ครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจาก Netflix เริ่มใช้นโยบายปราบปรามการแบ่งปันรหัสผ่าน (แชร์รหัสผ่าน) แล้วประสบความสำเร็จโดย ซึ่งนำไปสู่การเพิ่มจำนวนสมาชิกใหม่ เนื่องจาก "ผู้แชร์" รหัสผ่านถูกผลักดันให้ต้องสมัครสมาชิกด้วยตนเอง ซึ่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว Netflix ประกาศว่า ผลประกอบการไตรมาส 4 ที่ผ่านมา มีจำนวนยอดสมัครสมาชิกใหม่เพิ่มสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 13.1 ล้านคน ส่งผลให้ยอดสมาชิกรวมพุ่งขึ้นแตะ 260.8 ล้านคน ทำให้บริษัทคาดการณ์รายได้เพิ่มขึ้นเป็น 8.8 พันล้านดอลลาร์

ที่มา