ค่าไฟฟ้าแพง ภาระที่ทุกหลังคาเรือนและทุกธุรกิจต้องแบกรับ และในอนาคตอีก 2 ปีข้างหน้า คาดว่าจะปรับขึ้นต่อเนื่องตามต้นทุนก๊าซธรรมชาติของไทย บทความนี้จะพาไปแนะแนวทางในการประหยัดไฟฟ้าของอุตสาหกรรมการผลิต
ค่าไฟฟ้า ซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญของอุตสาหกรรมการผลิต พุ่งสูงขึ้นอย่างมากในปี 2565 และคาดว่ามีทิศทางในขาขึ้นในระยะข้างหน้า โดยสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากผลกระทบจากวิกฤตความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ที่ทำให้เกิดการจำกัดการส่งออกก๊าซธรรมชาติจากรัสเซีย ส่งผลให้ราคาก๊าซธรรมชาติที่ใช้ผลิตไฟฟ้าในตลาดโลกและไทยอยู่ในระดับสูงกว่าในอดีตที่ผ่านมาและคาดจะอยู่ในระดับที่สูงต่อไป แนวโน้มดังกล่าวย่อมส่งผลลบต่ออุตสาหกรรมการผลิตที่ใช้ไฟฟ้าอย่างเข้มข้น ซึ่งเป็นภาคส่วนสำคัญของระบบเศรษฐกิจไทย สะท้อนได้จากสัดส่วนมูลค่า GDP ของอุตสาหกรรมการผลิตในปี 2564 ที่สูงถึง 27% ของ GDP ทั้งหมด บทความนี้จะวิเคราะห์ถึงแนวโน้มค่าไฟฟ้าของไทยในระยะข้างหน้า และผลกระทบจากแนวโน้มดังกล่าวที่มีต่ออุตสาหกรรรมการผลิตของไทย
1.ทำความรู้จักกับโครงสร้างค่าไฟฟ้าของไทย
ปัจจุบันการคิดค่าไฟฟ้าของไทยมาจาก 2 ส่วนหลัก ได้แก่ 1) ค่าไฟฟ้าฐาน และ 2)ค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft)2 โดยมีรายละเอียดดังนี้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
2. ค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) เป็นส่วนต่างระหว่างต้นทุนการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดในปัจจุบันและค่าไฟฟ้าฐาน ซึ่งมีค่าเป็นทั้งบวกและลบ โดยจะเปลี่ยนแปลงตามแนวโน้มราคาเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้า เช่น ก๊าซธรรมชาติและน้ำมัน ในตลาดโลก รวมถึงค่าใช้จ่ายตามนโยบายของภาครัฐในเรื่องของการสนับสนุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนต่างๆ เช่น มาตรการส่งเสริมการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนแบบ Feed-in-Tariff2 ค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) จะมีการปรับเปลี่ยนทุก 4 เดือน โดยปัจจุบันค่า Ft อยู่ที่ 93.43 สตางค์
ในช่วงที่ผ่านมา ค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก -15.30 สตางค์ ในช่วง ก.ย.-ธ.ค. 2564 เป็น 93.43 สตางค์ในช่วง ก.ย.-ธ.ค. 2565 ซึ่งส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยปี 2565 ถึงจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 4.16 บาท/หน่วยไฟฟ้า และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกในปี 2566
2. แนวโน้มค่าไฟฟ้าของไทยในปี 2566-2567 จะเป็นอย่างไร?
ในช่วงที่ผ่านมา ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยของไทยเพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 3.60 บาท/หน่วยไฟฟ้าในปี 2564 เป็น 4.16 บาท/หน่วยไฟฟ้าในปี 2565 ตามต้นทุนก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าของไทย โดยสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงดังกล่าวสูงถึง 53% ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดในปี 2564 โดยราคาก๊าซธรรมชาติโดยเฉลี่ยได้เพิ่มขึ้นจาก 233 บาท/MMBTU ในปี 25644 เป็น 456 บาท/MMBTU ในปี 2565 โดยมีสาเหตุหลัก 2 ประการ ได้แก่
สำหรับปี 2566-67 Krungthai COMPASS คาดว่าค่าไฟฟ้าเฉลี่ยจะมีทิศทางในขาขึ้นต่อไป เนื่องจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มีแนวโน้มปรับค่าไฟฟ้าขึ้น ตามต้นทุนก๊าซธรรมชาติของไทย ซึ่งมีแนวทางแบ่งเป็น 3 กรณี ได้แก่ กรณีที่ 1) ค่าไฟฟ้าปรับตามต้นทุนที่เกิดจริง โดยภาครัฐไม่เรียกเก็บเงินเพิ่ม ซึ่งจะส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยในปี 2566-67 อยู่ที่ 4.90 และ 4.43 บาท/หน่วยไฟฟ้า กรณีที่ 2) ภาครัฐจะทยอยเรียกเก็บเงินเพิ่มจากค่าไฟฟ้างวดละ 0.33 บาท/หน่วยไฟฟ้าเป็นเวลา 2 ปี ซึ่งจะทำให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยปี 2566-67 อยู่ที่ 5.23 และ 4.76 บาท/หน่วยไฟฟ้า และ กรณีที่ 3) ภาครัฐจะทยอยเรียกเก็บเงินเพิ่มจากค่าไฟฟ้างวดละ 0.67 บาท/หน่วยไฟฟ้า เป็นเวลา 1 ปี ซึ่งทำให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยปี 2566-67 อยู่ที่ 5.57 และ 4.43 บาท/หน่วยไฟฟ้า โดยมีปัจจัยสนับสนุน 2 ประเด็น ดังนี้
1. ไทยยังคงต้องนำเข้าก๊าซ LNG เพื่อใช้สำหรับการผลิตไฟฟ้าจากต่างประเทศ ในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นจาก 39% ในปี 2565 เป็น 41% ในปี 2566 เพื่อทดแทนการลดลงของก๊าซธรรมชาติจากเมียนมาในปี 2566 จึงทำให้ราคาก๊าซธรรมชาติโดยเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นเป็น 469 บาท/MMBTU ในปี 2566 จากปี 2565 ที่อยู่ที่ 456 บาท/MMBTU ในปี 2565
2. คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มีแนวโน้มปรับค่าไฟฟ้าตามต้นทุนที่แท้จริง หรืออาจจะทยอยเรียกเก็บเงินเพิ่ม เพื่อลดภาระที่ได้ทำการอุดหนุนค่าไฟฟ้าในช่วงก่อนหน้า (ก.ย. 2564-ธ.ค. 2565) โดยการไฟฟ้าการผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งคาดว่าจะสูงถึง 1.68 แสนล้านบาท โดย Krungthai COMPASS ประเมินว่า ในช่วงที่ผ่านมา กฟผ.ได้ช่วยอุดหนุนค่าไฟฟ้าโดยเฉลี่ยที่ 0.20 บาท/หน่วยไฟฟ้า และ 0.65 บาท/หน่วยไฟฟ้าในปี 2564-65 ตามลำดับ
3. ค่าไฟฟ้าสูงจะส่งผลกระทบต่อกำไรของอุตสาหกรรมการผลิตของไทยมากน้อยเพียงใด ?
ค่าไฟฟ้าของไทยที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจนแตะสูงสุดในปี 2566 ย่อมส่งผลลบต่อต้นทุนโดยรวมและกำไรสุทธิของกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิต โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ใช้ไฟฟ้าจำนวนมาก เช่น อุตสาหกรรมผลิตเคมีภัณฑ์
Krungthai COMPASS ประเมินว่า ทุก 1% ของค่าไฟฟ้าเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น จะทำให้อัตรากำไรสุทธิของอุตสาหกรรมการผลิตลดลงประมาณ 0.03% ซึ่งหากค่าไฟฟ้าเป็นตามกรณีที่ 1) ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 17.8% (เพิ่มขึ้นจาก 4.16 บาท/หน่วยไฟฟ้าในปี 2565 เป็น 4.90 บาท/หน่วยไฟฟ้าในปี 2566) ส่งผลให้อัตรากำไรลดลงจาก 1.5% เป็น 0.9% กรณีที่ 2)ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 25.7% (เพิ่มขึ้นจาก 4.16 บาท/หน่วยไฟฟ้าในปี 2565 เป็น 5.23 บาท/หน่วยไฟฟ้าในปี 2566) ส่งผลให้อัตรากำไรลดลงจาก 1.5% เป็น 0.7% กรณีที่ 3)ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 33.9% (เพิ่มขึ้นจาก 4.16 บาท/หน่วยไฟฟ้าในปี 2565 เป็น 5.57 บาท/หน่วยไฟฟ้าในปี 2566) ส่งผลให้อัตรากำไรลดลงจาก 1.5% เป็น 0.4% ดังนั้น หากสัดส่วนระหว่างค่าไฟฟ้าและต้นทุนทั้งหมดเฉลี่ยอยู่ที่ 4.0% ในปี 2565 และค่าไฟฟ้าเฉลี่ยมีทิศทางตามกรณีที่ 1 (รูปที่ 2) จะทำให้อัตรากำไรสุทธิเฉลี่ยของอุตสาหกรรมการผลิตคาดว่าลดลงจาก 1.5% ในปี 2565 เป็น 0.9% ในปี 2566 ก่อนที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 1.3% ในปี 2567 ภายใต้สมมุติฐานที่ว่าต้นทุนอื่นๆ นอกเหนือจากค่าไฟฟ้า และรายได้คงที่ในช่วงเวลาดังกล่าว
อัตรากำไรสุทธิของอุตสาหกรรมการผลิตที่ใช้ไฟฟ้าอย่างเข้มข้น มีแนวโน้มลดลงประมาณ 0.04%-0.14% หากค่าไฟฟ้าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 1% โดยกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตที่ได้รับผลกระทบจากค่าไฟฟ้าในขาขึ้นค่อนข้างมาก คือ อุตสาหกรรมที่ใช้ไฟฟ้าในกระบวนการผลิตอย่างเข้มข้น เช่น อุตสาหกรรมผลิตเคมีภัณฑ์ อุตสาหกรรมสิ่งทอ อุตสาหกรรมผลิตโลหะ อุตสาหกรรมผลิตยางและพลาสติก และอุตสาหกรรมแปรรูปไม้ ดังนั้น หากสัดส่วนระหว่างค่าไฟฟ้าและต้นทุนทั้งหมดของอุตสาหกรรมดังกล่าวอยู่ที่ 4.7%-14.1% ในปี 2565 และค่าไฟฟ้าเฉลี่ยเป็นตามกรณีที่ 1 (รูปที่ 2) จะทำให้อัตรากำไรสุทธิเฉลี่ยของอุตสาหกรรมในกลุ่มนี้ลดลงจาก -3.0% ถึง 1.2% ในปี 2565 เป็น -4.4% ถึง 0.1% ในปี 2566 ก่อนที่จะฟื้นตัวเป็น -3.5% ถึง 0.8% ในปี 2567 ซึ่งอยู่ภายใต้สมมุติฐานที่ว่าค่าใช้จ่ายอื่นๆ นอกเหนือจากค่าไฟฟ้า และยอดขายไม่เปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาดังกล่าว
ค่าไฟฟ้าที่มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นในปี 2566-2567 ส่งผลให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมจำเป็นต้องหาแนวทางในการลดการใช้พลังงานความร้อนและไฟฟ้าในกระบวนการผลิต รวมถึงการใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพสูงที่สุด เพื่อลดผลกระทบจากค่าไฟฟ้าในอนาคต ซึ่งจะอธิบายแนวทางดังกล่าวในหัวข้อถัดไป
4. แนวทางในการประหยัดไฟฟ้าของอุตสาหกรรมการผลิต
อุตสาหกรรมการผลิตเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ใช้ไฟฟ้าอย่างเข้มข้น จึงทำให้ได้รับผลกระทบอย่างมากจากค่าไฟฟ้าที่คาดว่ายังอยู่ในระดับสูงในอีก 1-2 ปี ข้างหน้า โดยมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากเครื่องจักรที่นิยมใช้ในอุตสาหกรรมนี้ เช่น เครื่องอัดอากาศ (Air compressor) และหม้อแปลงไฟฟ้า ใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างสิ้นเปลือง และมักถูกละเลยในเรื่องการประหยัดพลังงานไฟฟ้า ดังนั้น ผู้ประกอบการจำเป็นต้องมีการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงานไฟฟ้าของเครื่องจักรดังกล่าว และการปรับตัว เพื่อลดผลกระทบจากค่าไฟฟ้าในระยะข้างหน้า โดยมีแนวทางดังต่อไปนี้