ส่องนโยบาย ประหยัดพลังงาน ที่ใช้ได้จริง เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน จักรยานเป็นคำตอบเพื่อลดมลพิษ และ ลดค่าใช้จ่าย แถมได้สุขภาพที่ดี โดยการใช้ชีวิตประจำวันด้วยสองล้ออย่างปลอดภัยและเป็นมิตร เพราะว่าการพึ่งพารถยนต์ที่ใช้น้ำมันนอกจากเผาผลาญพลังงานและยังเพิ่มความเครียด
เทรนด์มาแล้วก็ไป แต่จักรยานเป็นยานพาหนะ ที่ยืนหยัดในการเป็นตัวเลือกสำหรับการสัญจรได้มาอย่างยาวนาน ตั้งแต่มีการคิดค้นจักรยานต้นแบบขึ้นในปี 1817 โดยชาวเยอรมันที่ชื้อว่า Karl von Drais ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็นบิดาแห่งจักรยาน
ดัชนีโคเปนเฮเกน เป็นการจัดอันดับ เมืองที่เป็นมิตรกับจักรยาน มากที่สุดในโลก 20 เมือง ทั่วโลก คลอบคลุมทุกภูมิภาค โดยเริ่มต้นสำรวจและจัดอันดับทุกๆ 2 ปีมาตั้งแต่ปี 2011 โดยผลการจัดอันดับล่าสุดในปี 2019 เป็นครั้งที่ 5 พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงอันดับและมีประเทศหน้าใหม่ที่เข้ามายืนในรายการนี้เพิ่มขึ้น ได้แก่ โบโกตา เบรเมน ไทเป และแวนคูเวอร์ โดยมีโตเกียวที่เป็นตัวแทนหมู่บ้านมาตั้งแต่การจัดอันดับครั้งแรกให้กับชาวเอเชียด้วยเช่นกัน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ราคาน้ำมันวันนี้ เตรียมขึ้น สหรัฐฯ แบนน้ำมันรัสเซีย โลกจะไปต่อทางไหน ?
ราคาน้ำมันวันนี้ 9 มี.ค. 2565 ปรับขึ้นราคา กลุ่มแก๊สโซฮอล์ 1 บาทต่อลิตร
ไพร์มบ็อกซ์ เปิดแผน CSR ติดตั้งโซล่าร์เซลล์ เดินหน้าโรงงานประหยัดพลังงาน
โดยรวบรวมคะแนนจากทั้งหมด 115 เมือง ให้คะแนนตั้งแต่ 0-4 โดยแบ่งเกณฑ์เป็น 13 หมวด ซี่งมีแกนหลักที่พิจารณา เมืองที่เป็นมิตรกับจักรยาน ไว้ 3 ประเภท ได้แก่
Streetscape โครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสมกับจักรยาน สิ่งอำนวยความสะดวก การจราจร
Culture วัฒนธรรมในการปั่น เพศวัยที่ใช้งาน การเพิ่มจำนวนผู้ขี่ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ความปลอดภัย ภาพลักษณ์คนขี่ต่อส่วนรวม จำนวนจักรยานบรรทุกในท้องถนน
Ambition ความมุ่งมั่นและแรงสนับสนุนจากเมือง การแบ่งปั่นจักรยานเพื่อการขับขี่ การวางผังเมือง
โดย 20 เมืองที่ขับเคี่ยวไต่อันดับขึ้นมาอยู่ในรายการนี้ ได้แก่
3 เมืองที่ได้รับคะแนนสูงสุดและนโยบาย เมืองที่เป็นมิตรกับจักรยาน มีดังนี้
1.Copenhagen
2.Amsterdam
3.Utrecht
ขึ้นชื่อว่าเป็นเขตเมือง ย่อมตามมาด้วยความหนาแน่นและจำนวนประชากรมากกว่าในชนบท จาก 3 ประเทศที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่า นโยบายจากทางภาครัฐเอื้อประโยชน์และจูงใจในชาวเมืองแต่ละเมืองมีความสะดวกในการปั่นและคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ขี่มาเป็นอันดับแรก เพื่อเพิ่มนักปั่นหน้าใหม่และนักปั่นหน้าเดิมได้ใช้จักรยานในชีวิตประจำวันได้อย่างยั่งยืน ทั้งนี้ยังลงทุนกับการสร้างโครงสร้างพื้นฐานและภูมิทัศน์เพื่อผู้ปั่นได้เพลิดเพลินและมีความสุขโดยผลพลอยได้ที่เมืองจะได้ก็คือพลเมืองสุขภาพดี ไม่เครียดกับปัญหารถติด ทั้งยังลดมลพิษทางอากาศและประหยัดค่าเดินทาง ถือเป็นความคุ้มค่าที่ยิงปืนนัดเดียวได้ประโยชน์ทั้งเมืองและผู้คนทีอาศัยอยู่
ข้อมูลจาก TDRI ในปี 2020 ระบุว่า ถนนประเทศไทยเป็นถนนที่อันตรายที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และหนึ่งในถนนที่เลวร้ายที่สุดของโลกเช่นกัน แต่ละปีจะมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนประมาณ 20,000 คน หรือประมาณ 56 ต่อวัน
แม้มีการรณรงค์และสร้างเส้นทางปั่นจักรยานในกรุงเทพฯมาตั้งแต่ปี 2557 กรุงเทพมหานครมีทางจักรยานทั้งหมด 48 เส้นทาง รวมระยะทาง 230 กิโลเมตร แต่นักปั่นจักรยานที่ใช้งานจริง กลับไม่ได้ใช้งานจริงและไม่ได้เพิ่มจำนวนนักปั่นจักรยานให้มากขึ้นในจุดที่คุ้มค่ากับการลงทุน และไม่เกิดผลตามที่เป้าหมาย เนื่องจากการออบแบบเส้นทางไม่ต่อเนื่องและเชื่อมต่อกัน ปัญหารถหาย สภาพถนนและสิ่งกีดขวาง วินัยการจราจร การบังคับใช้กฏหมาย รวมถึงความปลอดภัยในการปั่นจักรยานที่ไม่จูงใจให้คนอยากปั่นบนถนนในชีวิตประจำวัน นอกจากยกจักรยานขึ้นรถไปปั่นกันในวันหยุดสุดสัปดาห์ตามสถานที่ปิดที่เปิดเลนเฉพาะให้สำหรับนักปั่น
จากข่าวข่าวนักปั่นจักรยานมืออาชีพที่เข้ามาจบชีวิตที่เมืองไทยที่มีให้เห็นทุกปี ทั้งเป็นข่าวในประเทศและต่างประเทศ เช่น
ไทยนอกจากไม่เป็น เมืองที่เป็นมิตรกับจักรยาน ยิ่งตอกย้ำถึงอันตรายและความเสี่ยงที่จะได้รับอุบัติเหตุแก่ผู้ปั่นจักรยาน แม้จะชื่นชอบและอยากลดการใช้พลังงาน ก็ไม่ตอบโจทย์และอยากเอาชีวิตไปทิ้งบนท้องถนนฟรีๆ แล้วการลดพลังงานอย่างที่รัฐต้องการควรไปในทิศทางไหน เพราะนอกจากรถเมล์ที่คาดเดาเวลาไม่ได้ ค่าตั๋วรถไฟฟ้าที่แสนแพงเมื่อเทียบกับรายได้ประชากร อยากให้ลดใช้พลังงานแต่ยังมีถนนและทางด่วนผุดขึ้นรอบเมือง เหมือนกำลังแต่ปัญหาอย่างหลงทิศหลงทางและย้อนแย้งในตัวเอง