สหรัฐฯ ประกาศแบนน้ำมันจากรัสเซีย ขณะที่ยุโรปยุติการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติของรัสเซีย เพื่อตอบโต้การรุกรานยูเครน อาจส่งผลให้ ราคาน้ำมันโลก แพงขึ้นจากการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจของเหล่าประเทศมหาอำนาจ
โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศแบนน้ำมันและพลังงานอื่น ๆ จากรัสเซีย เพื่อตอบโต้ด้านเศรษฐกิจกับรัสเซีย จากการรุกรานยูเครน แม้จะทำให้ราคาพลังงานในสหรัฐฯ สูงขึ้น
ทันทีที่ โจ ไบเดน ประกาศ ราคาน้ำมันดิบ Brent ประจำเดือน พ.ค. พุ่งขึ้น 5.4% แตะ 129.91 ดอลลาร์/บาร์เรล เมื่อช่วงค่ำคืนที่ผ่านมา เมื่อราคาน้ำมันดิบเพิ่มสูงขึ้น นั่นหมายความว่าประเทศที่อาศัยการนำเข้าน้ำมันก็จะมีราคาที่แพงขึ้นตามไปด้วย
สหรัฐฯ นำเข้าน้ำมันของรัสเซีย 672,000 บาร์เรลต่อวันเมื่อปีที่แล้ว ตามข้อมูลของสำนักงานข้อมูลพลังงานสหรัฐฯ พบว่า ในจำนวนนั้น 30% หรือ 199,000 บาร์เรลต่อวันเป็นน้ำมันดิบ ขณะที่ 473,000 บาร์เรลต่อวันเป็นน้ำมันที่กลั่นแล้ว
การแบนดังกล่าวทำให้สหรัฐฯต้องหาช่องทางอื่น ๆ ในการนำเข้าน้ำมันจากประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายอื่น เช่น ซาอุดีอาระเบีย และเมื่อสถานการณ์ไม่ดีขึ้น สหรัฐฯอาจผลักดันให้ชาติที่ทำการค้าขายด้วย แบนน้ำมันรัสเซียด้วย
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
ราคาทองวันนี้ 9 มี.ค. 65 ปรับขึ้นล่าสุด 900 บาท ทองแท่งขายออก 32,000 บาท
อ่วม!! ราคาน้ำมันขึ้น 2 วันติด เบนซิน – แก๊สโซฮอล์ขึ้นรวดเดียวลิตรละ 1 บาท
ราคาน้ำมันวันนี้ ตลาดโลก แตะ 125 ดอลล์ จับตาของกิน-ใช้ ปรับราคาแพงขึ้น
รัสเซียเป็นผู้ส่งออกน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์น้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลกรวมกัน อยู่ที่ประมาณ 7 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือ 7% ของอุปทานทั่วโลก ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นมากกว่า 30% นับตั้งแต่รัสเซียบุกยูเครน
เจพี มอร์แกน ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐ คาดการณ์ว่าน้ำมันจะแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 185 ดอลลาร์/บาร์เรล ภายในสิ้นปี 2565 หากการหยุดชะงักของการส่งออกของรัสเซียคงอยู่นาน
ครั้งสุดท้ายที่ราคาน้ำมันพุ่งสูงเกิน 100 ดอลลาร์/บาร์เรล คือในปี 2557 และการที่ราคาพุ่งขึ้นไปถึง 130 ดอลลาร์/บาร์เรล เมื่อวันจันทร์(7 มี.ค. 65) คงไม่ใช่เรื่องที่ห่างไกลนัก ถ้าน้ำมันจะไปทำลายสถิติสูงสุดที่ 147 ดอลลาร์/บาร์เรล เมื่อเดือนกรกฎาคม 2551
โดยก่อนหน้านี้ช่วงที่โควิด-19 เริ่มระบาด ราคาสัญญาซื้อขายน้ำมันดิบ WTI เคยตกลงไปต่ำกว่า 0 ดอลลาร์/บาร์เรล ก่อนจะตีกลับขึ้นมา ซึ่งหมายความว่า ผู้ผลิตต้องจ่ายเงินให้ผู้ซื้อเพื่อกำจัดน้ำมันที่ผลิตออกมา
การแบนน้ำมันรัสเซียจะทำให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวจากโควิด-19 ช้าลง
ธนาคารกลางยุโรป (ECB) คำนวณเบื้องต้น ว่า สงครามจะลดการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศยูโรโซน ถึง 0.3 - 0.4 % ในปีนี้
ในสหรัฐอเมริกา ธนาคารกลางสหรัฐประมาณการว่าทุก ๆ 10 ดอลลาร์/บาร์เรล ที่เพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันจะทำให้การเติบโตเศรษฐกิจ ลดลง 0.1%
ดังนั้นหากสงครามยังยืดเยื้อต่อไป สินค้าต่าง ๆ ก็จะยิ่งแพงขึ้นไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่น้ำมันไปจนถึงอาหาร และโอกาสที่ราคาจะลดลงก็จะเป็นไปได้อย่างช้า ๆ เมื่อสงครามสงบลง