สิ่งที่ผู้บริหาร ผู้ประกอบธุรกิจ ทีมงาน ได้เรียนรู้จากความไม่แน่นอนของการดำเนินธุรกิจในช่วงโควิด-19 ทำให้ประชากรโลกต้องใช้ชีวิตแบบ New Normal และไม่ใช่แค่นั้น Gartner, Inc. วิเคราะห์และคาดการณ์อนาคตที่จะเปลี่ยนแปลงอีก นับตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไป
มีเทรนด์การทำธุรกิจ การทำงาน การเก็บ Data ลูกค้าที่จะเปลี่ยนไปตั้งแต่ปี 2565 จาก Gartner มาบอกต่อ ถามว่าจะปรับใช้ได้มากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับว่า บริษัทที่คุณทำงานอยู่นั้น วางโครงสร้างด้านไอทีที่รองรับเทคโนโลยีใหม่ๆ และพร้อมซัพพอร์ตทีมงานมากแค่ไหน
ความเปลี่ยนแปลง 10 ข้อ จากการสำรวจความคิดเห็นผู้บริหารระดับ Head ใน 52 ประเทศ โดย Gartner
[1]
ภายในปี 2567 ผู้บริโภคราว 40% จะมีพฤติกรรมใหม่ๆ ส่งผลให้ข้อมูลส่วนบุคคลที่รวบรวมไว้ลดบทบาทลง ผู้ประกอบธุรกิจจะสร้างรายได้จากข้อมูลยากขึ้น
ผู้บริโภคตระหนักมากขึ้นว่า ข้อมูลบุคคลที่บริษัทต่างๆ ได้จากพวกเขาไปมีมูลค่าและพลังมหาศาล เมื่อใช้อัลกอริธึมแนะนำสิ่งต่างๆ ให้สอดรับกับพฤติกรรม โดยผู้บริโภคส่วนหนึ่งกำลังหาวิธีป้องกันการติดตามข้อมูลและพฤติกรรมส่วนตัว เช่น การให้ข้อมูลที่ไม่จริง คลิกโฆษณาที่ไม่ได้สนใจจริงๆ
แดริล พลัมเมอร์ รองประธานฝ่ายวิจัยของ Gartner กล่าวถึงการล่อหลอกอัลกอริธึมเพื่อเลี่ยงการติดตามพฤติกรรมและสร้างความสับสนให้ฐานข้อมูลของผู้บริโภค ว่าเป็นหนึ่งในความท้าทายของภาคธุรกิจ
"ไม่ว่าผู้บริโภคจะถูกกระตุ้นจากความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว หรือความปลอดภัย หรือการให้ข้อมูลผิดๆ หรือต้องการได้ผลตอบแทน ผู้บริโภคต่างก็มุ่งมั่นที่จะลดคุณค่าของ ข้อมูลเชิงพฤติกรรม ที่บริษัทต่างๆ ต้องพึ่งพาลง”
[2]
ภายในปี 2567 ทีมงานในองค์กรถึง 30% จะทำงานได้โดยไม่ต้องมีหัวหน้าเพราะเรียนรู้และควบคุมการทำงานได้ด้วยตัวเอง รวมถึงคุ้นเคยกับงานแบบ Hybrid Work
โรคระบาดทำให้รูปแบบการทำงานที่มีความคล่องตัวเข้าไปอยู่ในการดำเนินธุรกิจและยังปรับปรุงกระบวนการทางธุรกิจไปสู่การสร้างคุณค่าที่แท้จริง รวมถึงเปลี่ยนบทบาทการตัดสินใจที่ต้องมาจากศูนย์กลางเป็นแบบเพียร์ทูเพียร์ (P2P) ช่วยลดปัญหาคอขวดและประหยัดเวลาทำงานท่ามกลางสภาพแวดล้อมแบบ Hybrid Work
การทำงานแบบสลับเข้าออฟฟิศและทำงานจากที่บ้านจะยังดำเนินต่อไป ส่งผลให้บทบาทของผู้จัดการในแบบเดิมๆ ถูกถอดออก แต่จะเป็นแนวทางเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานให้ดียิ่งขึ้น
“บทบาทผู้จัดการในฐานะผู้บังคับบัญชาและผู้ควบคุมงานเป็นอุปสรรคสำคัญในยุคที่ธุรกิจเน้นความคล่องตัว ต้องการความเป็นอิสระ และการทำงานเป็นทีม เช่น ร่วมกันวางแผน จัดลำดับความสำคัญของงาน"
อย่างไรก็ตาม การทำงานอย่างมีระบบก็ยังต้องมีอยู่
"แต่จำเป็นต้องแยก การจัดการ ออกจากบทบาท ผู้จัดการ เพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากความคล่องตัวและการทำงานแบบไฮบริดได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ” พลัมเมอร์กล่าว
[3]
ภายในปี 2568 ราว 70% ขององค์กรจะเลี่ยงการถูกคว่ำบาตรจากการละเมิดความเป็นส่วนตัว ข้อมูลสังเคราะห์ (Synthetic Data) ที่ได้จาก AI ก็จะลดการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าลง
ข้อมูลที่สร้างโดยใช้ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) หรือที่เรียกว่า ข้อมูลสังเคราะห์ (Synthetic Data) กำลังมีบทบาทเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากข้อมูลสังเคราะห์ทำหน้าที่เป็นตัวแทนข้อมูลจริงได้ จึงลดการรวบรวม การใช้ รวมถึงการแบ่งปันข้อมูลที่มีความอ่อนไหวลง
ประเด็นนี้สอดคล้องกับ กฎระเบียบด้านความเป็นส่วนตัว ที่มีความเฉพาะเจาะจง ซึ่งในระดับภูมิภาคได้กดดันให้องค์กรหันมาลดความเสี่ยงที่จะละเมิดความเป็นส่วนตัวและพร้อมรองรับความยืดหยุ่น
“ข้อมูลสังเคราะห์ทำให้ AI บอกคำทำนายที่สามารถแสดงถึงตัวเลือกได้ตามความเป็นจริงในอนาคต ไม่ใช่การสะท้อนภาพอดีตจากข้อมูลจริง ทำให้การใช้ข้อมูลสังเคราะห์ที่มีคุณภาพสูงและในปริมาณมาก เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสำหรับการทำความเข้าใจมนุษย์ในวงกว้าง” พลัมเมอร์กล่าว
[4]
ภายในปี 2567 การโจมตีทางไซเบอร์จะสร้างความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานอย่างมหาศาล เป็นผลให้กลุ่ม G20 เลือกที่จะโต้ตอบด้วยการโจมตีทางกายภาพ
ที่ผ่านมา ประเทศต่างๆ มองว่า การโจมตีทางไซเบอร์เป็นอาชญากรรม ไม่ใช่การทำสงคราม แต่ความสูญเสียที่เกิดจากการ โจมตีขนาดใหญ่ ก่อนหน้านี้ พุ่งเป้าไปที่โครงสร้างพื้นฐานสำคัญซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ดังนั้น รัฐบาลบางประเทศจึงเตรียมการรับมือสงครามไซเบอร์ผ่านหน่วยป้องกันทางไซเบอร์เฉพาะกิจ
และอีกไม่นาน องค์กรธุรกิจจะต้องทำทั้งป้องกันและรับผิดชอบการโจมตีทางไซเบอร์อย่างต่อเนื่อง ยิ่งไปกว่านั้น การโจมตีที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จะกระตุ้นให้ "กองทัพ" เข้ามามีส่วนในการรับมือเพื่อขัดขวางการโจมตีไปที่โครงสร้างพื้นฐานสำคัญๆ
[5]
ภายในปี 2567 ผู้บริหารไอที 80% จะเผยโฉมการออกแบบธุรกิจใหม่ในลักษณะแยกส่วนเป็นโมดูล เพื่อเร่งให้เกิดประสิทธิภาพทางธุรกิจ
“ตลาดที่ปั่นป่วนอยู่แล้วจะยังอยู่รอดจากโควิด-19 โดยในช่วงของการพยายามกลับไปสู่เสถียรภาพเดิมนั้น องค์กรจะยังไม่มีการเติบโตเพราะอยู่ในระยะ เริ่มใหม่ แต่มีสถานะดีกว่าช่วงที่หยุดชะงักในรอบปัจจุบัน” พลัมเมอร์กล่าว
สถานการณ์ต่างๆ ทำให้ผู้บริหารไอทีค่อยๆ เปลี่ยนวิธีคิด มองความผันผวนเป็นโอกาส และเห็นว่าการทำธุรกิจแบบแยกส่วน หรือการออกแบบโมดูลใหม่ให้สินทรัพย์ที่มีเพื่อลดการพึ่งพาซึ่งกันและกัน ซึ่งน่าจะช่วยให้บริษัทสามารถจัดองค์ประกอบใหม่ได้อย่างรวดเร็ว ง่ายดาย และมีความปลอดภัย
นอกจากนี้ การจัดระบบใหม่ยังเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ช่วยให้ผู้บริหารไอทีสามารถควบคุมความเสี่ยงเพื่อเร่งกระบวนการไปสู่ความเปลี่ยนแปลงได้เร็วขึ้น
[6]
ในปี 2568 สามในสี่ของบริษัทหรือ ประมาณ 75% จะเลิกให้ความสำคัญกับกลุ่มลูกค้าที่ไม่เหมาะกับธุรกิจ เนื่องจากการรักษาฐานลูกค้ากลุ่มนี้ถือเป็นค่าใช้จ่ายที่กระทบต้นทุนบริษัท
บริษัทจะลบรายชื่อลูกค้าที่ไม่เข้ากับผลิตภัณฑ์และบริการของธุรกิจออกจากกระบวนการขาย โดยจะมีธุรกิจไม่กี่รายเท่านั้นที่บอกลาลูกค้าทันทีหลังจากที่พวกเขาซื้อผลิตภัณฑ์หรือบริการแล้ว
เนื่องจากการรักษาลูกค้าที่ไม่เหมาะกับธุรกิจมีค่าใช้จ่ายสูง ทั้งในแง่ของเวลาที่ใช้เพื่อสร้างความพึงพอใจ เช่นเดียวกับต้นทุนค่าเสียโอกาส ความเสื่อมสภาพของแบรนด์ และการสูญเสียผลกำไรระยะยาวที่อาจเกิดขึ้นได้
[7]
ภายในปี 2569 จะมีนักพัฒนาที่มีความสามารถทั่วแอฟริกาเพิ่มขึ้นถึง 30% โดยจะเข้ามาสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลและผลักดันให้แอฟริกากลายเป็นระบบนิเวศของธุรกิจสตาร์ทอัพระดับโลก
ด้วยเงินทุนที่ถาโถมให้แอฟริกาทำให้หลายประเทศในภูมิภาคนี้กลายเป็น ศูนย์กลางนวัตกรรม และขณะเดียวกัน ผู้ลงทุนก็หวังว่าจะขยายความร่วมมือไปยังบริษัทขนาดใหญ่และสตาร์ทอัพอื่นๆ ได้มากขึ้นด้วย
เช่น ความรุ่งเรืองทางเทคโนโลยีของประเทศเคนยา จนเคนยาได้ชื่อว่าเป็น Silicon Savannah ของแอฟริกาตะวันออก และด้วยระบบนิเวศทางเทคโนโลยีที่มีมูลค่าถึง 1 พันล้านดอลลาร์ ยิ่งมีแรงดึงดูดทั้งคนที่มีความสามารถ เงินลงทุนจากต่างประเทศ ผู้ประกอบการ และนักพัฒนาเทคโนโลยี
อีก 3 ปีข้างหน้า ภูมิภาคแอฟริกาอาจมีนักพัฒนามืออาชีพเกือบ 900,000 คน ที่เรียนรู้ผ่านการศึกษานอกระบบเพิ่มขึ้น และในขณะที่ตลาดนี้เติบโตอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนทั่วโลกก็จะลดการลงทุนในจีนลง แล้วหันมาสนับสนุนตลาดเกิดใหม่แห่งนี้
[8]
ในปี 2569 สินทรัพย์ดิจิทัล (NFT) ที่ใช้กลยุทธ์ Gamification จะขับเคลื่อนองค์กรให้เป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุด 10 อันดับแรก
สินทรัพย์ดิจิทัล (NFT : Non-Fungible Tokens) กำลังสร้างโมเดลธุรกิจให้เติบโตอย่างทวีคูณ โดยใช้ประโยชน์จากการระดมทุนในแบบไฮเปอร์โทเคนไนซ์ (hyper-tokenization) ซึ่งคุณค่าของ NFT อยู่ที่การสนับสนุนจากผู้ซื้อที่ยินดีจ่ายเงินมากขึ้นให้แก่ผลงานศิลปะและสิ่งประดิษฐ์ดิจิทัล เนื่องจากผู้ซื้ออยู่ในเครือข่ายของคนที่มีความสนใจและเข้าใจถึงคุณค่าของผลงานเช่นเดียวกัน
ภายในปี 2567 Gartner คาดว่า 50% ของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จะมีสินทรัพย์ดิจิทัลที่สนับสนุนแบรนด์และ/หรือระบบนิเวศดิจิทัลของตัวเอง โดย NFT จะกลายเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่ทรงพลัง ซึ่งจะเสริมศักยภาพให้แก่ระบบนิเวศดิจิทัลและทำให้มูลค่าขององค์กรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
[9]
ภายในปี 2570 จะมีการขยายดาวเทียมวงโคจรต่ำเพื่อให้สัญญาณอินเทอร์เน็ตครอบคลุมประชากรที่ยากจนที่สุดในโลกอีก 1,000 ล้านคน ซึ่งจะช่วยให้ 50% ของคนเหล่านี้หลุดพ้นจากความยากจนได้
การใช้การเชื่อมต่อผ่านดาวเทียมแบบ Backhaul (เทคโนโลยีที่ช่วยกระจายสัญญาณอินเทอร์เน็ตซึ่งมีหลายแบบ) ช่วยลดต้นทุนการติดตั้งและการดำเนินงานในการปรับใช้สถานีฐานเครือข่ายมือถือได้มาก และดาวเทียมยังสามารถส่งสัญญาณผ่านการเชื่อมต่อเกาะต่างๆ ตามที่ตั้งของลูกค้าได้ จากคำแนะนำของกลุ่มดาวเทียม LEO (วงโคจรรอบโลกต่ำ) ทำให้การขยายเครือข่ายสัญญาณครอบคลุมไปยังพื้นที่ที่มีประชากรเบาบางและยังช่วยให้ประหยัดขึ้น
“การเชื่อมต่อ มีส่วนร่วมสำคัญทั้งในด้านเศรษฐกิจและการเมืองในระบบนิเวศที่เปิดกว้างขึ้น ซึ่งการเพิ่มประชากรเน็ตใหม่ๆ อีกหลายพันล้านคน จะสร้างผลกระทบเชิงลึกต่ออินเทอร์เน็ตในแง่ของวัฒนธรรมและคอนเทนต์” พลัมเมอร์กล่าว
[10]
ภายในปี 2570 หนึ่งในสี่หรือ 25% ของบริษัทที่ติดอันดับ Fortune 20 จะถูกแทนที่ โดยบริษัทเทคด้านการตอบสนองของระบบประสาทและอินฟลูเอนเซอร์ซึ่งมีอิทธิพลต่อจิตใต้สำนึกและส่งผลต่อพฤติกรรมเป็นวงกว้าง
“ผู้บริหารส่วนใหญ่ยอมรับว่า ทุกองค์กรที่เป็นบริษัทเทคโนโลยีจะก้าวไปเป็นผู้ชนะเหนือคู่แข่งในทศวรรษหน้า โดยจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการทำงานของระบบสมองและการตอบสนองของระบบประสาท ด้วยการนำเทคโนโลยีที่มีความอัจฉริยะมาวิเคราะห์ ทำความเข้าใจ และเรียนรู้พฤติกรรมโน้มน้าวของมนุษย์” พลัมเมอร์กล่าวสรุป
ลำดับสิ่งที่จะเกิดขึ้นนับตั้งแต่ปี 2565
ที่มา : Gartner’s Top Strategic Predictions for 2022 and Beyond - Leveraging What We Have Learned.