สถานการณ์ โควิดเชียงใหม่ ที่พบผู้ลักลอบเข้าไทยผ่านด่านชายแดน และไม่ยอมกักตัว ทำให้ผู้คนตื่นตระหนกและเกิดคำถามว่า เหตุการณ์นี้จะนำไปสู่การระบาดระลอก 2 ขึ้นหรือไม่ สปริงนิวส์จึงหาคำตอบเพื่อให้ประชาชนเข้าใจ ตระหนักแต่ไม่ตื่นตระหนกจนเกินไปนัก
สถานการณ์ โควิดเชียงใหม่ ยังคงมาตรการสอบสวนควบคุมการแพร่กระจายโรคอย่างเข้มข้น ในขณะที่ศูนย์ฯ โควิด 19 เชียงราย แถลงพบผู้ป่วยโควิด 19 เพิ่มจำนวน 2 ราย ลักลอบข้ามแดนจากท่าขี้เหล็ก อ.แม่สาย เป็นหญิง 26 ปี ชาวอำเภอขุนตาล และหญิง 23 ปี ชาวจังหวัดพะเยา ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาลศูนย์เชียงรายฯ โดยทั้งคู่ทำงานที่เดียวกับหญิงเชียงใหม่ที่พบก่อนหน้านี้ ยืนยันไม่ได้ออกไปเที่ยวไหน
การพบผู้ติดเชื้อคราวนี้ทำให้ประชาชนตื่นตัวเป็นอย่างมาก รวมถึงตื่นตะหนกในบางส่วนว่าจะทำให้เกิดการระบาดระลอก 2 ขึ้นมาหรือไม่ และจะต้องรับมืออย่างไรจึงจะดี
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวประเมินเคสคนลักลอบเข้าเมืองครั้งนี้พบว่า คนไม่ตื่นตระหนกมากมายอะไรนัก เราอยู่กับโรคนี้มาปีหนึ่งแล้ว เรามีความรู้เรื่องโรคนี้มาพอสมควร เรื่องนี้ก็เป็นไปตามที่ได้คาดหมายไว้ ว่าต่อไปเราจะเจอผู้ป่วยแบบนี้ได้เป็นระยะๆ แต่มาตรการเราก็คือ เราควบคุมโรคให้ได้ ซึ่งขณะนี้ทางเชียงใหม่ เชียงราย เขากำลังดำเนินการอยู่อย่างเข้มข้น โอกาสที่จะเกิดการระบาดระลอก 2 ได้นั้นอยู่ที่ความร่วมมือของประชาชน เราพิสูจน์มาให้เห็นใน 2 เดือนที่ผ่านมาว่า นี่ไม่ใช่เหตุการณ์แรกที่เกิด เรามีเหตุการณ์ชาวอินเดียที่กระบี่ รัฐมนตรีฮังการี แหม่มฝรั่งเศส ด้วยความที่ไม่ใช่เรื่องใหม่ เราจึงได้มีการคาดการณ์ไว้แล้วว่าจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นได้ ความร่วมมือในเรื่องของการใส่หน้ากากอนามัย การเว้นระยะห่าง การสแกนไทยชนะเพื่อให้การสอบสวนควบคุมโรคเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว
“ชายแดนต้องยอมรับว่ามีจุดโหว่เยอะ แล้วมันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะเอาคนไปนั่งดูตรงชายแดนธรรมชาติได้ตลอด 24 ชั่วโมง ประเด็นต่อไปก็คือ คนที่อยู่ที่ชายแดนความร่วมมือของประชาชนสำคัญมาก ตามที่ทางผู้ว่าราชการทั้ง 2 จังหวัดได้ประกาศว่า หากใครพบคนที่เดินทางมาจากประเทศเพื่อนบ้านที่ไม่ได้ผ่านการกักตัว ให้มารายงานเจ้าหน้าที่ เพื่อที่จะได้มีการตรวจสอบและควบคุมโรคต่อไป อันนี้สำคัญมาก ต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตา ทั้งเจ้าของคอนโดมิเนียม เจ้าของบ้าน เจ้าของธุรกิจ ถ้าพบว่าใครมาจากประเทศเพื่อนบ้านแล้วไม่ผ่านการกักตัวภายใน 1 เดือนที่ผ่านมา ให้แจ้งเจ้าหน้าที่โดยด่วน”
มาตรการต่อไป เป็นการติดตามกำกับในสถานที่สาธารณะ เช่น สถานบันเทิง ให้ดำเนินการมาตรการที่ทางรัฐบาลประกาศ ทางผู้ว่าราชการทั้ง 2 จังหวัดประกาศ หากฝ่าฝืนก็ต้องปิด เหมือนที่ทางผู้ว่าฯ เชียงใหม่ได้สั่งปิดสถานที่ที่ไม่ได้ดำเนินการตามมาตรฐาน
เราคาดการณ์ว่าจะมีการระบาดก็จะเป็นในช่วงเวฟสั้นๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับคนไทย หน้ากากอนามัยเป็นมาตรการสำคัญในการป้องกัน อย่าไปอยู่สถานที่แออัด ล้างมือ และดำเนินตามมาตรการที่ทางรัฐบาลกำหนดไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การสแกนไทยชนะ เราเชื่อว่าจะไม่ระบาด
“โดยภาพรวมเท่าที่ประเมินดูทั้งเชียงใหม่และเชียงรายประชาชนร่วมมือดี ไม่ค่อยตื่นตระหนกมาก และใส่หน้ากากอนามัยกันค่อนข้างดี ขอย้ำว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ต้องวิตกกังวลเกินไป ถ้าเทียบกับตอนเดือนมีนาคม-เมษายน ส่วนท่านที่อยู่ชายแดนใครก็ตามที่รับคนที่เดินทางมาจากต่างประเทศเข้ามา ท่านต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องความผิด การไม่ให้ความร่วมมือเรื่องโรคระบาดก็เป็นความผิดประการหนึ่ง เชื่อว่าคนไทยให้ความร่วมมือ ช่วยกันเป็นหูเป็นตา แล้วเราจะควบคุมโรคระบาดได้เร็วและเป็นประโยชน์ต่อประเทศจริงๆ”
สถานการณ์ โควิดเชียงใหม่ และเชียงราย ยังคงเป็นที่สนใจอย่างต่อเนื่อง ในแง่ของการควบคุมการระบาดจำเป็นอย่างยิ่งต้องได้รับความร่วมมือกับทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน
นายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ ที่ปรึกษาระดับกระทรวง หัวหน้าสาขาวิชาการและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ภาพรวมที่เราเห็น จริงๆ แล้วมีโอกาสเกิดขึ้นได้อยู่แล้วเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ เรามีโอกาสเกิดได้ 3 รูปแบบ ดังนี้
รูปแบบที่ 1 เรียกว่า spike จากกรณีที่เราเจอจากเคสผู้ที่เดินทางจากอิตาลี และฝรั่งเศส ที่อาจารย์โอภาสแถลงเป็น spike
รูปแบบที่ 2 เรียก spike and small wave เราเจอหนึ่งเคสแล้วยังมีคนในครอบครัวติด อย่างนั้นวงไม่กว้าง เรียกว่าวงแคบ เราควบคุมได้ จะเห็นว่าเป็น 4-5 คน หรือ 10 คน อย่างนั้นเป็นต้น
รูปแบบที่ 3 เรียกว่า spike and large wave เป็นก้อนใหญ่เลย อันนี้โอกาสเกิดน้อยมากเพราะว่าในปัจจุบันระบบการรับมือของเราดีมาก
สิ่งสำคัญที่เราประสบความสำเร็จก็คือ มาตรการที่เราสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ เว้นระยะห่าง สแกนไทยชนะ สิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวบอกว่าเราจะรับมือได้หรือไม่ได้
“วัคซีนเป็นเครื่องมือหนึ่งที่สำคัญ ทางรัฐบาล กระทรวงสาธารณสุข และด้วยพระมหากรุณาธิคุณของในหลวงรัชกาลที่ 9 และรัชกาลที่ 10 เราได้ทำถึง 3 วิธี ทั้งวิจัยและพัฒนาในประเทศซึ่งอันนี้เป็นคนไทยทำเอง การจัดหาจัดซื้อ Covax รวมถึงการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่ท่านนายกรัฐมนตรีได้ลงนามไป เราเตรียมรับมือไว้หลายวิธีมาก คาดว่าจะได้วัคซีนในช่วงกลางปีหน้าจำนวนประมาณ 13 ล้านโดสก่อน และหลังจากนั้นจึงจะได้เพิ่ม แต่วัคซีนไม่ใช่เครื่องมือเดียวที่จะใช้ควบคุมโรคได้ สังเกตได้จากช่วงเวลาที่ผ่านมา เราเข้มข้นกับมาตรการโควิดปรากฏว่าโรค ไข้หวัดใหญ่ มือเท้าปาก โรคติดต่อทางเดินหายใจต่างๆ แม้กระทั่งวัณโรค ลดลงอย่างมีนัยสำคัญอย่างไม่เคยมีมาก่อนเลย ดังนั้นสิ่งสำคัญคือพลังของพี่น้องประชาชน ไม่ประมาท การ์ดไม่ตก”
ไทยเรายังต้องรับมือกับโควิด 19 อีกยาวพอสมควร เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราต้องทำเราต้องมี ขอเน้นตรงนี้เลยก็คือ
-ความรักที่เรามีต่อประเทศ
-ความรักที่เรามีต่อคนอื่น เช่น ปู่ ย่า ตา ยาย คนที่แข็งแรงเมื่อติดโควิดแล้วอาจไม่เป็นอะไรมาก แต่อาจนำเชื้อไปแพร่ให้กับคนที่เรารัก ทำให้เกิดการระบาดได้
-ความรักในตัวเอง
“ถ้าไม่มี 3 ข้อนี้ ก็ได้โปรดพิจารณาตัวเอง อาจพูดแรง แต่อยากเตือนสติว่าอย่าประมาท ระบบประเทศไทยต้องขอชื่นชมว่าเป็นระบบที่ดีที่สุดแล้ว ทั้งการดูแลคนไข้ การรักษาพยาบาลที่มีสิทธิ์ครอบคลุมในการไม่เสียค่าใช้จ่ายเลย รวมถึงระบบกักตัว state Quarantine อยากบอกว่าให้เห็นใจเจ้าหน้าที่เพราะเจ้าหน้าที่เหนื่อยกันมาก ทุกคนทำงานทุ่มเททั้งกลางวันกลางคืน ผลัดกันอยู่เวรตลอดเวลา เพื่อปกป้องประเทศเรา”
การระบาดระลอก 2 ถ้ามาตรการเราทำดีทั้ง การสวมหน้ากากอนามัย การล้างมือ เราทำดีโอกาสจะติดมันน้อยมาก ยิ่งเรามีระบบติดตามทีมสอบสวนโรคก็จะเข้าควบคุมเข้าติดตาม contact tracing ณ ปัจจุบันเรานำเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาช่วย เจ้าหน้าที่เราทำงานอย่างเต็มความสามารถแล้ว
นายแพทย์รุ่งเรือง กล่าวทิ้งท้ายว่า ทุกอย่างเป็นบทเรียนที่สำคัญ เราขอความเห็นใจว่า เราพยายามอุดจุดโหว่ให้ได้มากที่สุด ต่อไปความเข้มงวดก็จะต้องมากขึ้นกว่านี้ ที่ผ่านมาเราทำอย่างดีที่สุดแล้ว แต่มันเป็นเรื่องของจิตสำนึกด้วย ไม่อยากให้ตื่นตระหนกแต่อยากให้ตระหนัก โดยอยากให้สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ อย่าเข้าใกล้คนป่วย ถ้าเกิดมีอาการไม่สบายให้รีบไปพบแพทย์ และแจ้งประวัติความเสี่ยง เราจะมีเกณฑ์ในการตรวจอยู่แล้ว ซึ่งไม่ได้เสียค่าใช้จ่าย ขณะเดียวกันถ้าเรามองภาพรวมเราจะเห็นว่า ใน 100 คนอัตราการเสียชีวิตจะอยู่ที่ประมาณ 1-2 คนเท่านั้น คนที่มีอาการรุนแรงจะมีประมาณสิบกว่าคน อีกประมาณ 80 กว่าคนอาการจะไม่รุนแรง ดังนั้น กลุ่มเสี่ยงที่จะมีอาการรุนแรงก็คือ คนที่สุขภาพไม่ดี คนสูงอายุ คนที่เป็นโรคอ้วน คนที่ไม่รักษาสุขภาพ คนที่ดื่มเหล้าสูบบุหรี่ ฉะนั้นพฤติกรรมสุขภาพจะมีส่วนช่วยปกป้องชีวิตจากโควิด 19 ได้