ชัชชาติ เตรียมถก 2 สูตรเก็บค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียว ขออย่ากังวลทำคะแนนนิยมตก จำเป็นต้องเก็บเพื่อนำรายได้ไปช่วยประชาชนในส่วนอื่น
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. ระบุถึงความคืบหน้าการเคาะเก็บค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียวว่า จำเป็นต้องเก็บ เพราะรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายที่ 2 (หมอชิต-คูคต และ แบริ่ง-เคหะสมุทรปราการ) ไม่ได้เก็บค่าโดยสารมาตั้งแต่ปี 2563 ที่มีการเปิดให้ใช้บริการ โดยเข้าใจว่าเป็นนโยบายของผู้บริหาร กทม. ในตอนนั้น แต่การงดเก็บค่าโดยสารนั้น ไม่ได้หมายความว่า กทม. ไม่ได้จ่ายเงิน เพราะต้องมีค่าใช้จ่ายในการจ้างเดินรถปีละ 5.9 พันล้านบาท ซึ่งถือว่าเยอะมากเมื่อเทียบกับงบประมาณสาธารณสุขของ กทม. ปีละราว 6 พันล้านบาท ดังนั้น หากไม่เก็บค่าโดยสารเลย ก็จะไม่เป็นธรรมกับคนอื่นที่ไม่ได้นั่งรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย
ขณะเดียวกัน ชัชชาติ กล่าวยอมรับว่า แม้จะเริ่มเก็บค่าโดยสารแล้ว รายได้ทั้งหมดจะอยู่ที่ประมาณ 1.6 พันล้าน เทียบกับค่าจ้างเดินรถ 5.9 พันล้าน ถือว่ายังคงไม่เพียงพอ มีส่วนต่างอยู่ ตอนนี้จึงจำเป็นจะต้องมีการแต่งตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) 3 คน เข้ามาร่วมให้ความเห็นกับเรา เพราะหากเก็บไม่พอ ก็จะต้องมีการตั้งงบประมาณรายปีเพื่อมาจ่ายชดเชยส่วนต่างให้ เหมือนกับที่ กทม. จ่ายชดเชยให้ส่วนต่อขยายที่ 1 ทุกปี (สะพานตากสิน-บางหว้า และอ่อนนุช-แบริ่ง) โดยมีการเก็บค่าแรกเข้าอยู่ที่ 15 บาท
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
• "สามารถ" เจาะลึกปมรถไฟฟ้าสายสีเขียว บททดสอบมหาโหด "ชัชชาติ" ผู้ว่าฯ กทม.
• ชัชชาติ ยัน เร่งแก้ปัญหารถไฟฟ้าสายสีเขียว ตั้งเป้าลดค่าโดยสาร
• ทำได้หรือขายฝัน ? ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. หาเสียง หั่นค่าตั๋วรถไฟฟ้าสายสีเขียว
สำหรับสูตรเก็บค่าโดยสารที่จะเกิดขึ้น มีอยู่ด้วยกัน 2 สูตร วิษณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าฯกทม. ได้ให้รายละเอียดดังนี้
1. ค่าแรกเข้าระหว่างส่วนต่อขยายที่ 1 และ 2 เส้นทางสายสีเขียวใต้ (อ่อนนุช-เคหะสมุทรปราการ) คงอยู่ที่ 15 บาทเท่าเดิม หมายความว่า แม้นั่งรถจากสถานีส่วนต่อขยายที่ 2 เข้ามาส่วนต่อขยายที่ 1 เช่น จากเคหะสมุทรปราการ มา อ่อนนุช ค่าแรกก็เข้ายังเท่าเดิม ขณะเดียวกันสำหรับเส้นทางสายสีเขียวเหนือ (หมอชิต-คูคต) ที่ยังไม่เคยเก็บค่าโดยสาร ก็จะเก็บค่าแรกเข้า 15 บาท เช่นกัน โดยเมื่อเข้าสู่ส่วนที่เป็นไข่แดงที่มีการเก็บค่าโดยสารตามปกติตั้งแต่ 16-44 บาท จะทำให้ค่าโดยสารสูงสุดที่ผู้โดยสารต้องจ่ายอยู่ที่ 59 บาทเหมือนเดิม
2. ค่าโดยสาร 14+2x ที่จะมีการเก็บค่าแรกเข้า 14 บาท ร่วมกับค่าโดยสารเฉลี่ยสถานีละ 2 บาท ซึ่งตรงนี้จะมีการปรับใช้สำหรับส่วนต่อขยายที่ 1 และ 2 รวมกันในอนาคต ซึ่งค่าโดยสารสูงสุดที่ผู้โดยสารต้องจ่ายอยู่ที่ 59 บาทเช่นกัน
โดยทั้ง 2 สูตรนั้น จะทำให้กทม.มีรายได้จากการเก็บค่าโดยสารใกล้เคียงกัน สูตรที่ 2 ราว 1.67 พันล้านบาท สูตรที่ 1 ราว 1.65 พันล้านบาท ต่างกันราว 20-30 ล้านบาท สำหรับการดำเนินการหลังจากนี้ หากมีการบรรจุเป็นวาระการประชุมหารือกับทาง ส.ก. เพื่อตั้งงบประมาณอุดหนุนแล้วเสร็จ กทม. จะทำเรื่องแจ้งผู้เดินรถ คาดว่าคงใช้เวลาราว 3-4 สัปดาห์ในการปรับระบบการเก็บค่าโดยสารหลังบ้าน
นอกจากนี้ ชัชชาติ ระบุว่า แนวคิดตอนนี้ คือคงต้องหารายได้ส่วนอื่นที่ไม่ใช่ค่าโดยสารเพิ่ม เช่น ค่าโฆษณาบนตัวขบวนรถไฟฟ้าหรือตามร้านขายของในส่วนต่อขยายที่ 2
“มองว่าถ้าเก็บ ตนได้คะแนนนิยมเพิ่ม เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ได้นั่งรถส่วนต่อขยาย ตอนนี้เราเอาเงินของคนทั้งกรุงเทพราว 5 ล้านคนไปจ่ายชดเชยให้กับคนนั่งรถส่วนต่อขยายราว 1.6 แสนคนอยู่ เงินที่จะเอาไปช่วยค่าอาหารกลางวันเด็ก ผู้สูงอายุ หรือระบบสาธารณสุข สุดท้ายก็ต้องไหลไปชดเชยค่ารถไฟฟ้า ถ้าเราทำจริงๆ ก็จะเหลือเงินไว้ช่วยประชาชนในส่วนอื่นด้วยซ้ำ ไม่ต้องไปกังวลเรื่องคะแนนเสียงหรอก เป็นเรื่องความยุติธรรมและความถูกต้องมากกว่า”