SHORT CUT
โค้งสุดท้าย นายกฯ สวนฝ่ายค้านถูกครอบงำโดยคนไม่ใช่พ่อ เท้ง ฟาดมัน เผยประเทศสูญเสียหลายอย่างเอาทักษิณกลับมา ประท้วงยาวตลอดอภิปราย
ที่ รัฐสภา น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ชี้แจงต่อที่ประชุมสภาฯ วาระอภิปรายไม่ไว้วางใจ ต่อเนื่องเป็นวันที่สอง ว่า ตลอด2วันของการอภิปราย ตนได้ยินชื่อตัวเองมากที่สุดในชีวิต ทั้งนี้ทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองเต็มความสามารถอะไรที่เป็นเนื้อหาสาระที่เป็นประโยชน์จะเป็นประโยชน์กับประชาชน อะไรที่กระทบกระทั่งถือว่าปกติ และคิดว่าจะทำงานร่วมกันต่อไปได้ ส่วนกรณีที่นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ย้ำถึงภาวะผู้นำและกรณีถูกครอบงำหลายครั้ง คนที่ย้ำเรื่องเดิมๆ หลายครั้งไม่แน่ใจว่าเป็นสิ่งที่ตนเองขาดหรือไม่ ทั้งนี้ตนคิดว่าไม่ต้องคิดแบบนั้นก็ได้ เพราะไม่ใช่แค่ตนที่ถูกกล่าว แต่ผู้นำฝ่ายค้านถูกกล่าวหาเช่นกัน แต่ต่างกันเพราะตนถูกครอบงำโดยพ่อ แต่ผู้นำฝ่ายค้าน ถูกครอบงำโดยคนที่ไม่ใช่พ่อ
“ไม่อยากให้ใครพูดแบบนี้ ส่วนตัวเคารพและให้เกียติผู้นำฝ่ายค้าน และไม่เคยสงสัยในภาวะผู้นำ อายุใกล้กันควรเข้าใจและในเรื่องของเส้นทางทางการเมือง คล้ายกันอยู่บ้าง ไม่ว่ามาถึงตรงนี้ เจอชะตากรรมของการถูกกระท หากพรรคของดิฉันไม่ถูกกระทำทางการเมือง อาจมีนายกฯ ชื่อดร.ทักษิณ ชินวัตร และท่านยังมีหัวหน้าพรรคชื่อ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” น.ส.แพทองธาร ชี้แจง
น.ส.แพทองธาร ชี้แจงต่อว่า เมื่อชะตากรรมทางการเมืองเป็นแบบนี้ ตนและผู้นำฝ่ายค้านต้องทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด และอย่าด้อยค่าคนอื่น กรณีที่ตนเป็นลูกของนายทักษิณถูกวิจารณ์ ถูกปรามาสมาตั้งแต่เป็นนิสิตนักศึกษาและเมื่อเป็นนายกฯ จึงมีคนที่กล่าวถึงอีก จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหรือเสียหาย ทั้งนี้การรับฟังจากนายทักษิณแล้วนำมาใช้หรือพิจารณา เพราะนายทักษิณเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถถูกยอมรับในวงกว้าง ทั้งในและต่างประเทศหากความคิดเป็นประโยชน์กับประเทศ เป็นสิ่งที่ดี มีนักการเมืองอีกหลายคนโดนตัดสิทธิทางการเมืองจากการยุบพรรค เห็นว่าทุกคนเดินหน้าทำงานเรื่องการเมือง ทั้งนโยบาย หาเสียง พบประชาชน ทำได้ ทำไมถึงเน้นแต่เรื่องของนายทักษินที่เป็นนประเด็น หรือ จะโดนตัดสิทธิยกกำลังสอง
น.ส.แพทองธาร ชี้แจงถึงประเด็นอุยกูร์ ด้วยว่า ตอนนี้ไทยไม่มีกฎหมายของผู้ลี้ภัย ผู้ที่หลบหนีเข้าเมืองต้องถูกดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งได้ยึดหลักมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชน การขังไว้เป็นสิบปี ประเทศจีนฐานะประเทศแม่ขอรับตัวและทวงถาม โดยประเทศที่สามไม่เคยทวงหรือขออย่างเป็นทางการ ได้ติดต่อกับจีนเรียกร้องให้คำยืนยันของความปลอดภัย ถือเป็นพันธสัญญาต่อสังคมโลกจึงต้องรีบส่งกลับไป จากการติดตามพบว่ามีความเป็นอยู่ที่ดีที่บ้าน กรณีที่ต่อว่ารัฐบาลว่าไม่ทำตามใจอุยกูร์ นั้นตนได้พิจารณาสิ่งที่ดีที่สุดกับประเทศไทย และการส่งกลับมีหนังสือรับรองอย่างเป็นทางการ จึงมั่นใจและส่งอุยกูร์กลับไป
“ที่กล่าวหาว่ารัฐบาลทำผิดนั้น ได้มองครบในมิติของโลกหรือไม่ ท่านเป็นนักสิทธิมนุษยชน ควรมีมาตรฐานเดียวทั่วโลก หรือจะสองมาตรฐานเฉพาะรัฐบาลนี้ จำได้ไว่าไม่มีพรรคการเมืองไหนมีนโยบายเรื่องผู้ลี้ภัย ท่านควรใช้โอกาสนี้ออกนโยบายก็ได้ว่าจะทำตามผู้ลี้ภัยทุกกรณี เพื่อให้ประชาชนรับฟัง” น.ส.แพทองธาร ชี้แจง
นายกฯชี้แจงต่อในประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า เป็นนโยบายของพรรคเพื่อไทย ลงสัตยาบรรณร่วมกันผลักดันและเมื่อเป็นรัฐบาลได้แถลงนโยบายเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญโดยไม่แตะหมวดหนึ่งและหมวดสอง แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญหลายหนทำไม่สำเร็จ เพราะมีกฎหมายที่ซับซ้อน แก้ไขได้ยาก และมีข้อเห็นต่างจากพรรคร่วมและ สว. ที่มีข้อเรียกร้องให้แสดงภาวะผู้นำ ไม่ต้องเรียกร้องเพราะได้ทำตลอดเวลา ได้หารือกับพรรคร่วมรัฐบาลในทุกนโยบายที่ต้องหารือ มีการแลกเปลี่ยนร่วมกัน แสวงสุดร่วมสวงวนจุดต่าง และล่าสุดพรรคร่วมรัฐบาลที่ไม่เคยเข้าประชุมลงมติเห็นชอบร่วมกันยื่นเรื่องศาลรัฐธรรมนูญ แม้ว่าจะช้าไม่ทันใจ แต่นี่คือโอกาสที่ชัดเจนของความสำเร็จ ส่วนภาวะผู้นำของตนคิดว่า ต้องมีความอดทน เพราะเป็นรัฐบาลที่มีพรรคร่วมหลายพรรค ต้องอดทน หากจะให้เป็นผู้นำที่ดันทุนรังแต่พังทุกรอบอาจไม่สำเร็จ เชื่อว่าการดันทุรังไม่เป็นผลดีกับรัฐบาล
“รัฐบาลเคารพในสิทธิเสรีภาพการแสดงออกของทุกฝ่าย และไม่เคยลืมความบอบช้ำของพรรคการเมืองที่ต่อสู้เคียงข้างประชาชน เห็นประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญในพรรคเพื่อไทยมีคนเสื้อแดง และลูกหลานคนเสื้อแดงในพรรคอีกมาก แม้ไม่ได้พกหมวกหรือผ้าพันคอเราได้จริงจังและอยู่ในใจเสมอ” นายกฯชี้แจง
นายกฯ ชี้แจงด้วยว่า หากคำว่าดีลหมายถึงเจรจาหาข้อสรุปร่วมกันทางการเมือง ทุกที่ต้องดีลกัน ซึ่งการตั้งรัฐบาลนั้นมีดีลกับพรรคท่าน และท่านมาดีลกับพรรคเรา ซึ่งเราได้ยยกมือโหวตให้แคนดิเดตนายกฯของท่านไม่ว่าระดับสองคนหรือระดับพรรค เพราะบอกว่ารวมเสียง สว.สำเร็จแล้ว ที่ผ่านมาได้รักษาคำพูดเสมอ ทำตามดีลทุกอย่าง ปี2562 เป็นพรรอันดับหนึ่ง แต่โหวตนายกฯ ได้มาดีลให้โหวตแคนดิเดตนายกฯ ที่เป็นพรรคอันดับสาม และเลือกตั้งปี2566 ท่านเป็นพรรคอันดับหนึ่งมีดีลร่วมรัฐบาล เราตอบตกลงร่วมรัฐบาล เมื่อครั้งแรกไม่ผ่านและยกมือให้ครั้งที่สอง แต่เท่าที่จำได้ ไม่เคยยกมือให้แคนดิเดตของพรรคเรา เมื่อท่านตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จจึงเดินหน้าตั้งรัฐบาลต่อไปเป็นปกติของระบบรัฐสภา
“รู้ดีวาการตั้งรัฐบาลครั้งนี้พบความยากและต้องอธิบายให้ประชาชนฟัง เราตั้งใจอย่างมากต่อการผลักกดันนโยบายสู่ประชาชนจริง เพราะตัวเลขและศักยภาพของประเทศไทยโตช้า 10ปี หากไม่เริ่มจะไม่มีนโยบายถึงประชาน ที่บอกนโยบายไม่ตรงปก แต่ชาวบ้านได้รับหมื่นบาท ถามประชาชนแล้วหรือไม่ว่ามีความสุขหรือไม่ การกระตุ้นเศรฐกิจถูกทำแล้ว หากไม่ทำจะกระเตื้องหรือไม่ หากไม่เริ่มนับหนึ่งวันนั้น วันนี้อาจติดลบอยู่ หากไม่เริ่มจากลบไปศูนย์ หรือเป็นบวก เมื่อไรประเทศไทยจะเคลื่อนไปข้างหน้า พรรคเพื่อไทยจึงแบกไว้ต่อการทำความเข้าใจกับประชาชน เราภูมิใจที่ได้ทำนโยบายเดินสายต่างประเทศ เพื่อทำให้การลงทุนสูงสุดในรอบ 10 ปีทั้งที่เป็นรัฐบาลมาแค่ 6เดือน” นายกฯ ชี้แจง
น.ส.แพทองธาร ชี้แจงด้วยว่า เพื่อความชัดเจนและสร้างแนวการเมืองแบบใหม่ ควรประกาศให้ชัดว่าสมัยหน้าจะร่วมหรือไม่ร่วมกับใคร พูดให้ชัดวันนี้ เพื่อให้ประชานสบายใจ
ณัฐพงษ์ระบุว่าในการชี้แจงครั้งสุดท้าย นายกรัฐมนตรีได้เปิดประเด็นใหม่ขึ้นมาว่าพรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทยมีหัวอกเดียวกัน เพราะต่างถูกนิติสงครามเล่นงานและถูกยุบพรรคอย่างไม่เป็นธรรม แต่ตนอยากตั้งคำถามว่า แล้วนายกฯ จะการเมืองไทยออกจากปัญหานี้อย่างไร นายกรัฐมนตรีบอกสั้นๆ แค่ว่ามีนโยบายแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่กลับไม่ลงมือทำเหมือนที่พูดไว้เลย และอย่าอ้างเรื่องข้อกฎหมายว่ามีข้อเห็นต่างกันเรื่องการประชามติ เพราะใครก็รู้ว่าเป็นการหาเหตุผลทางกฎหมายมาบังหน้าเหตุผลทางการเมือง
ที่ผ่านมาทั้งในการอภิปรายและการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ตนกล่าวถึงปัญหา “ภาวะความเป็นผู้นำ” ของนายกฯ น้อยครั้งมาก แต่เลือกใช้คำว่านายกฯ ขาด “คุณสมบัติ” ที่จำเป็นในการดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศ 3 ด้าน คือ ขาดความรู้ความสามารถ ขาดวุฒิภาวะ และขาดเจตจำนงทางการเมือง อันที่จริงแล้ว เรื่องความรู้ความสามารถสามารถพัฒนากันได้ หากพร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ ก็อยากชวนถ้านายกฯ มารับฟังปัญหาจากสภาผู้แทนราษฎรบ่อยๆ ส่วนวุฒิภาวะก็ยังสามารถปรับปรุงกันได้หากพร้อมเปิดใจรับฟังข้อวิจารณ์ แต่คุณสมบัติเรื่องเจตจำนงทางการเมืองนั้นเป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดที่จะขาดไม่ได้ ตนขอถามนายกฯ ด้วยความเคารพว่า เหตุผลที่มาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตอนนี้คืออะไรกันแน่
ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่า เมื่อเวลา 15:50 น. ที่ผ่านมา นายกฯ ใช้เวลาเล่าประวัติชีวิตส่วนตัวที่ผ่านมาตั้งแต่การรัฐประหารปี 2549 ราวกับว่ามีแต่ตัวเองและครอบครัวชินวัตรเท่านั้นที่เป็นผู้ถูกกระทำ ทั้งที่
ประชาชนคนไทยทั้งประเทศก็เผชิญสถานการณ์และผลพวงรัฐประหารเช่นเดียวกัน ถ้าจะใช้ความเป็นบุตรสาวของทักษิณมาอ้าง ตนก็อยากให้นายกรัฐมนตรีลองนึกถึงบุตรสาวของคนเสื้อแดงดูบ้าง ว่าพวกเขารู้สึกอย่างไร เจ็บปวดแค่ไหนกับจุดยืนทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยวันนี้
สำหรับตน ความขัดแย้งทางการเมืองที่ผ่านมา 20 ปีหากให้พูดแค่สองประโยคว่าเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทยบ้าง ตนสามารถสรุปได้ว่า “เมื่อ 20 ปีที่แล้วประเทศไทยสูญเสียทุกอย่างเพื่อเอาทักษิณออกนอกประเทศ แต่ 20 ปีถัดมาประเทศไทยกำลังจะสูญเสียทุกอย่างไปอีกครั้งเพื่อเอาทักษิณกลับมา” เพราะข้อเท็จจริงก็คือ วันนี้กลายเป็นพรรคของท่านไปร่วมขบวนการกับกลุ่มสนับสนุนรัฐประหาร ประเทศไทยกำลังจะสูญเสียทุกอย่างไปอีกครั้ง เพื่อเอาทักษิณ ชินวัตร กลับมา ไม่ว่าจะเป็นนิติรัฐ นิติธรรม หลักการประชาธิปไตย และการสยบยอมต่อกลุ่มทุนผูกขาด นี่คือสิ่งที่พวกเราพยายามสื่อสารมาตลอดสองวันว่า ดีลแลกประเทศคืออะไร
ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่าในการอภิปรายสองวันที่ผ่านมา นายกฯ และคณะรัฐมนตรีพยายามโยนคำถามกลับมาทางพวกตน กล่าวหาว่ามีแต่การประดิษฐ์วาทกรรม ใส่ร้ายป้ายสี ไม่ใช่การเมืองสร้างสรรค์ แต่ตนอยากให้กลับมาตั้งต้นที่หลักการให้ชัด ว่านี่ไม่ใช่ญัตติทั่วไป แต่เป็นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ เมื่อท่านถูกกล่าวหาก็ควรชี้แจงกลับให้ประชาชนรับฟัง แต่รัฐบาลกลับโยนข้อกล่าวหากลับมาให้พวกตน เบี่ยงประเด็นจากเรื่องที่ควรชี้แจง มันถูกต้องแล้วหรือ มันเป็นตรรกะย้อนแย้ง นี่เป็นสิ่งที่นายกฯ พึงกระทำหรือ การแสดงออกของนายกฯ สองวันนี้ ประชาชนจะตัดสินเองว่าขาดคุณสมบัติการเป็นผู้นำทั้งสามข้อดังที่เราวิจารณ์ไว้หรือไม่
ต่อประเด็นที่มีการชี้แจงกลับมานั้น ประการแรกตนขอตอบ ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี ที่บอกว่าไม่มีการอภิปรายเรื่องใหม่ๆ ความจริงข้อมูลใหม่มีหลายเรื่อง แต่หากจะคิดในกรอบว่ามีแต่เรื่องที่เกิดขึ้นมาก่อนคุณแพทองธารมาดำรงตำแหน่งนายกฯ เท่านั้น คำถามคือถ้ามันเป็นเรื่องที่ผิดและยังผิดอยู่ แล้วทำไมท่านถึงไม่แก้ ทั้งเรื่องสัมปทานทางด่วน ค่าไฟแพง เหมืองทองอัครา ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา แต่เมื่อท่านมีอำนาจแล้ว ทำไมไม่ยืนยันว่าจะแก้ไข ไม่บอกวิธีแก้ปัญหา มีแต่บอกว่าเป็นเรื่องเก่า ตกลงจะไม่แก้ไขอะไรเลยหรือ ได้แต่บอกว่าเป็นปัญหาเดิม แล้วเราจะมีผู้นำไว้ทำอะไร
ณัฐพงษ์ยังกล่าวต่อไปว่า อีกประเด็นที่นายกฯ เริ่มใหม่ คือการอธิบายคำว่า “ดีล” ว่าเป็นเรื่องปกติในโลกการเมือง แต่สาระสำคัญของการอภิปรายกันสองวันที่ผ่านมาคือ จะดีลจะต่อรองอย่างไรให้โปร่งใสและประชาชนได้ประโยชน์ เหตุและผลในการตัดสินใจทำนโยบายแต่ละอย่างคืออะไร ที่ต้องโกหกประชาชนผิดคำสัญญาไว้เกิดขึ้นเพราะอะไร คุณแพทองธารก็ไม่เคยเอาเหตุผลจริงๆ มาคุยกัน หรือเพราะท่านพูดไม่ได้ เพราะดีลนั้นมันไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ในประเทศนี้ แต่เป็นไปเพื่อครอบครัวและกลุ่มทุนใกล้ชิดเท่านั้น
นอกจากนี้ ตนจะขอสรุปประเด็นสำคัญที่เพื่อน สส. พรรคประชาชนยกขึ้นมาอภิปราย และยังไม่ได้รับคำตอบจากนายกฯ 7 คำถาม เริ่มจากเรื่องภาษีการรับให้ที่ วิโรจน์ ลักขณาอดิศร เป็นผู้อภิปราย นายกฯ ชี้แจงว่าวางแผนที่จะจ่ายอยู่แล้ว และพยายามสื่อว่าเป็นการบริหารภาษี แต่ถ้าวิโรจน์ไม่ลุกมาถามเรื่องนี้ในสภา นายกฯ วางแผนจะจ่ายภาษีเมื่อไหร่กันแน่ หรือจะรอไปเรื่อยๆ โดยไม่มีกำหนด
อย่างไรก็ดี คำถามที่สำคัญกว่าคือ คุณแพทองธารกำลังส่งสัญญาณอะไรให้สังคมไทยถ้าทุกคนที่เป็นนักธุรกิจทำแบบเดียวกันนายกฯ โอนหุ้นให้บุคคลในครบครัวด้วยวิธีการเดียวกับคุณแพทองธารทุกคน ลองถามสามัญสำนึกของวิญญูชนดู ว่าเป็นวิธีการที่ถูกต้องหรือไม่ ถ้าทุกคนทำเหมือนนายกฯ ประเทศไทยจะจัดเก็บภาษีมรดกได้ 0 บาท สำหรับตนประเด็นนี้ต่อให้สุดท้ายทำได้ถูกกฎหมายก็ยังเรียกได้ว่าเป็น “ธุรกรรมอำพรางวางแผนเพื่อหนีภาษี” ของครอบครัวผู้นำประเทศ
คำถามที่สองเป็นเรื่องปลาหมอคางดำ ที่อภิปรายโดย ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ นายกฯ ก็ย้ำอีกทีว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนมารับตำแหน่ง แถมยังตั้งงบประมาณไว้ 98 ล้านบาท แต่คำถามที่ณัฐชาถามต่อนายกฯ ไม่ได้ถามว่าจะใช้งบประมาณกี่บาท แต่ถามว่าเมื่อไหร่ที่รัฐบาลชุดนี้จะบังคับใช้กฎหมายอย่างตรงไปตรงมา เอาบริษัทที่เป็นต้นเหตุของปัญหานี้มาร่วมรับผิดชอบ กลุ่มทุนที่เรากล่าวหาว่ามีความใกล้ชิดกับรัฐบาลทำไมไม่เคยถูกดำเนินคดีใดๆ แต่กลับต้องเอาภาษีของประชาชนไปรับผิดชอบความผิดของกลุ่มทุนนั้น เป็นอีกเรื่องที่นายกฯ ไม่ยอมตอบคำถามที่สังคมอยากฟัง
คำถามที่สาม เป็นเรื่องของฝุ่น pm 2.5 ที่ สส. ภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ ติดตามมาตลอดเป็นผู้อภิปราย นายกฯ ก็เลือกแสดงข้อมูลด้านบวกจากตัวเลขแบบไม่รอบด้าน ทั้งยังภูมิใจว่ารัฐบาลจัดการกับปัญหาฝุ่นได้ดี แต่สิ่งที่ภัทรพงษ์ตั้งคำถามคือ เมื่อไรจะใช้ตัวชี้วัดปัญหาให้ถูกต้องและเป็นสากล เพื่อจะได้อยู่ในความจริงเดียวกันกับคนไทยทั้งประเทศ เพราะข้อมูลดาวเทียมจากทั้งต่างประเทศและหลายหน่วยงานที่นายกฯ ไม่พูดถึง ต่างชี้ให้เห็นว่าพื้นที่การเผาไหม้เพิ่มขึ้น ปัญหาฝุ่นหนักขึ้น การตั้งตัวชี้วัดให้ถูกต้องคือการเริ่มต้นที่ถูกจุด ไม่เช่นนั้นท่านก็จะหนีความจริงไปเรื่อยๆ หยิบเอาแต่ตัวเลขที่ดีขึ้นมาหลอกประชาชน
คำถามที่สี่คือเรื่องของค่าไฟที่ วรภพ วิริยะโรจน์ และ ศุภโชติ ไชยสัจ ตั้งคำถามต่อนายกฯ ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ว่าจะเอาอย่างไรกับปัญหาค่าไฟแพง แต่นายกฯ ก็ใช้กระบวนท่าเดิม ตอบเบี่ยงว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่เคยอนุมัติให้ซื้อไฟเพิ่ม ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เราถาม เราถามว่า ท่านจะเอาอย่างไรกับการแก้แผน PDP ของประเทศที่ประมาณการความต้องการไฟฟ้าสูงเกินจริงมาตลอด ทำให้ต้องมีโรงไฟฟ้าสำรองมากเกินจริง เสียค่าพร้อมจ่ายเกินจริง และมีค่าไฟแพงเกินสมควรมาตลอด ท่านจะยังสืบสานสิ่งที่ผิดๆ อยู่ต่อไปหรือ ทำไมไม่แก้ให้ถูกต้อง เพราะเมื่อคนไทยเห็นแต่ข่าวคุณทักษิณ ชินวัตร พ่อของนายกรัฐมนตรีไปตีกอล์ฟกับนักธุรกิจพลังงาน ก็พากันตั้งคำถามถึงผลประโยชน์ทับซ้อน
คำถามที่ห้าคือเรื่องโรงแรม เทมส์ วัลเลย์ ที่เขาใหญ่ที่ ธีรัจชัย พันธุมาศ อภิปรายมีสองประเด็นใหญ่ๆ คือ การออกโฉนดโดยมิชอบและการประกอบธุรกิจโรงแรมที่ผิดกฎหมาย เมื่อวานรัฐมนตรี วราวุธ ศิลปอาชา ได้มาตอบเรื่องโฉนดที่ดิน ซึ่งยังต้องตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลว่าพื้นที่ต้นน้ำเป็นอย่างไรกันแน่ และตนก็เชื่อว่าข้อมูลของพวกตนนั้นถูกต้อง แต่อีกเรื่องหนึ่งคือการชี้แจงว่าทางหน่วยงานได้ออกใบอนุญาตที่แห่งนี้ในการประกอบธุรกิจโรงแรมเมื่อปี 2562 ในขณะที่ธีรัจชัยอภิปรายว่า โรงแรมแห่งนี้เริ่มทำธุรตั้งแต่ปี 2557 คำถามคือตั้งแต่ 2557-2562 โรงแรมแห่งนี้ประกอบการถูกกฎหมายหรือไม่ ก็ไม่ได้รับคำตอบ
คำถามที่หกเป็นกรณีการรักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจของคุณทักษิณ ชินวัตร ที่อภิปรายโดย รังสิมันต์ โรม แน่นอนว่ากรณีนี้เกี่ยวเนื่องมาจากรัฐบาลชุดก่อน แต่สิ่งที่รังสิมันต์ได้แสดงข้อมูลให้ประชาชนทั้งประเทศเห็นก็คือ นายกฯ อยู่ในฐานะพยานรู้เห็นเป็นใจกับสถานะของพ่อตัวเองมาตลอด และสิ่งที่เราอยากได้คำตอบก็คือ ตกลงแล้วทักษิณป่วยเป็นอะไรกันแน่ที่ทำให้ได้สิทธิพิเศษในการอยู่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ
คำถามที่เจ็ดคือปัญหาขบวนการคอลเซ็นเตอร์ที่คนจำนวนมากยังเดือดร้อนอยู่ทุกวันทุกชั่วโมง โดย รักชนก ศรีนอก ได้อภิปรายโดยต้องการคำตอบชัดๆ ว่าข่าวที่ออกมาว่าจะมีการออก พ.ร.ก.แบ่งความรับผิดชอบกับสถาบันการเงิน เมื่อไหร่จะออกมาเสียที แต่ก็ไม่มีคำตอบที่ชัดเจนจากนายกรัฐมนตรี
ทั้งหมดนี้คือ 7 คำถามที่คุณแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรียังไม่ตอบให้สังคมไทยได้กระจ่าง แม้ว่าจะมีเวลาเหลือให้ชี้แจงสื่อสารกับประชาชน เราเห็นแต่การทำดีลแลกประเทศเอาใจทั้งกลุ่มอำนาจเก่าและกลุ่มทุนใกล้ชิด บิดเบือนกฎหมายเปลี่ยนดำเป็นขาว
“ด้วยเหตุที่ผมบอกมาทั้งหมดนี้ ผมจึงขอกล่าวหานายกรัฐมนตรีว่าท่านจงใจทำธุรกรรมอำพรางวางแผนเพื่อหนีภาษี อิงแอบกับกลุ่มทุน เอาใจอำนาจเก่า ละเว้นการใช้อำนาจหน้าที่ของตัวเองในฐานะนายกรัฐมนตรี เป็นคนที่ไม่มีความรู้ความสามารถ ไม่มีความตั้งใจในการแก้ไขปัญหา เลือกหยิบแต่ตัวเลขดีๆ มาหลอกสังคม ท่านหนีภาษี หนีหน้าที่ และหนีความเป็นจริง จึงไม่อาจไว้ใจให้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปได้” ณัฐพงษ์กล่าวปิดท้าย