SHORT CUT
พัฒนาการประกันสังคม จากบิสมาร์ค ถึงจอมพล ป. สู่วันที่ประชาชนเรียกร้องหาความโปร่งใส แถมมีข้อครหาเรื่องการทำงานที่ไม่ตอบโจทย์ประชาชน
ระบบประกันสังคมเป็นกลไกสำคัญในการสร้างหลักประกันและความมั่นคงในชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกที่เต็มไปด้วยความผันผวนและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและสังคม ระบบประกันสังคมช่วยลดความเสี่ยงและแบ่งเบาภาระที่อาจเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ต่างๆ เช่น การเจ็บป่วย การว่างงาน หรือการเกษียณอายุ
SPRiNG พาไปค้นหาเรื่องราวการกำเนิดของประกันสังคมทั้งในระดับโลกและในประเทศไทย พัฒนาการของระบบประกันสังคมไทย รวมถึงปัญหาและความท้าทายที่ระบบกำลังเผชิญ และแนวทางแก้ไขเพื่อสร้างความยั่งยืนและความเป็นธรรมแก่ผู้ประกันตน
แนวคิดเรื่องการประกันสังคมมีรากฐานมาจากการ ตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลและช่วยเหลือซึ่งกันและกันในสังคม ในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมที่แรงงานต้องเผชิญกับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนต่างๆ นำไปสู่การเรียกร้องให้มีหลักประกันทางสังคมที่เป็นระบบ
ประเทศเยอรมนีถือเป็นประเทศแรกที่นำระบบประกันสังคมมาใช้ อย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1883 ในสมัยของ อ็อทโท ฟ็อน บิสมาร์ค นายกรัฐมนตรีเหล็กและรัฐบุรุษของเยอรมนี
แนวคิดของบิสมาร์คคือการสร้างระบบที่รัฐมีบทบาทในการดูแลและให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชน ในด้านสุขภาพและการทำงาน
ระบบประกันสังคมของเยอรมนีในยุคแรกครอบคลุม การประกันสุขภาพ การประกันอุบัติเหตุ และการประกันชราภาพ
ความสำเร็จของระบบประกันสังคมในเยอรมนีได้ เป็นต้นแบบให้แก่ประเทศอื่นๆ ในยุโรปและทั่วโลก ในการพัฒนาระบบประกันสังคมของตนเอง
ปัจจุบัน ระบบประกันสังคมได้ มีการพัฒนาและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์และความต้องการของแต่ละประเทศ
ขณะที่ประเทศไทยนั้นแนวคิดเรื่องประกันสังคมในประเทศไทย เริ่มขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2495 หรือ ค.ศ. 1952 ช้ากว่าเยอรมนี 69 ปี ในสมัยรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม
รัฐบาลในขณะนั้นมีนโยบายที่จะให้ประชาชนมี หลักประกันที่มั่นคงทางสังคม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชน
ได้มีการตราพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2497 ซึ่งเป็นกฎหมายประกันสังคมฉบับแรกของประเทศไทย
มีการจัดตั้ง "กรมประกันสังคม" ขึ้นในกระทรวงการคลัง เพื่อ ดำเนินการตามกฎหมายประกันสังคม
กฎหมายประกันสังคม พ.ศ. 2497 ครอบคลุมการประกัน 6 ประเภท ได้แก่ การคลอดบุตร การสงเคราะห์บุตร การเจ็บป่วย การพิการและทุพพลภาพ การชราภาพ และการฌาปนกิจ
อย่างไรก็ตาม กฎหมายประกันสังคมฉบับนี้ไม่ได้รับการบังคับใช้ เนื่องจากมีการขัดขวางจากหลายฝ่าย ทำให้การผลักดันระบบประกันสังคมต้องหยุดชะงักไป
ต่อมาในสมัยรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ได้มีการ รื้อฟื้นแนวคิดประกันสังคม และผลักดันจนกระทั่งมีการออกพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533
มีการจัดตั้ง "สำนักงานประกันสังคม" ขึ้น สังกัดกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม (ปัจจุบันคือกระทรวงแรงงาน) เพื่อ ทำหน้าที่บริหารจัดการระบบประกันสังคม
พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 ถือเป็น จุดเริ่มต้นที่สำคัญของการวางรากฐานระบบประกันสังคม ในประเทศไทย
พ.ศ. 2533: เริ่มจัดเก็บเงินสมทบจากลูกจ้าง นายจ้าง และรัฐบาลในอัตราร้อยละ 4.5 ของค่าจ้าง
พ.ศ. 2537: ขยายความคุ้มครองไปยังสถานพยาบาลของรัฐ
พ.ศ. 2541: ขยายความคุ้มครองไปยังผู้ประกันตนที่ออกจากงาน (มาตรา 39)
พ.ศ. 2542: เพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีชราภาพ (บำเหน็จ บำนาญ)
พ.ศ. 2558: ขยายความคุ้มครองไปยังแรงงานนอกระบบ (มาตรา 40)
มาตรา 33: ลูกจ้างในสถานประกอบการ
มาตรา 39: ผู้ที่เคยเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 และสมัครใจ
มาตรา 40: แรงงานนอกระบบ
แม้ว่าระบบประกันสังคมไทยจะมีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังเผชิญกับปัญหาและความท้าทายหลายประการ
ความเสี่ยงด้านโครงสร้างประชากร: ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มตัว ทำให้อัตราส่วนของประชากรวัยทำงานต่อผู้สูงอายุลดลง ส่งผลให้มีผู้จ่ายเงินสมทบลดลง ในขณะที่มีผู้รับเงินสิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้น
ความเสี่ยงด้านการเงิน: รายจ่ายด้านสิทธิประโยชน์ต่างๆ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะค่ารักษาพยาบาลและเงินบำนาญชราภาพ ทำให้กองทุนมีความเสี่ยงที่จะมีเงินไม่เพียงพอในอนาคต
ความเสี่ยงด้านการลงทุน: การบริหารจัดการเงินกองทุนให้ได้ผลตอบแทนที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ แต่ก็ต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดการเงิน
ความท้าทายด้านการบริหารจัดการ: การบริหารจัดการกองทุนให้มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และตรวจสอบได้ เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ผู้ประกันตนเกิดความเชื่อมั่น
งานวิจัยหลายชิ้น ชี้ให้เห็นว่าหากไม่มีการปรับปรุงแก้ไข กองทุนประกันสังคมอาจมีเงินไม่เพียงพอจ่ายสิทธิประโยชน์ในอนาคต
เช่น งานศึกษาของวีณา (2541) พบว่ากองทุนชราภาพจะเริ่มใช้เงินสะสมในปี 2579 และเงินกองทุนจะหมดลงในปี 2586
งานศึกษาของเอื้อมพร (2554) และ เพ็ญศรี (2558) พบว่าเงินกองทุนจะหมดลงในปี 2582 และ 2586 ตามลำดับ
เพดานค่าจ้างในการจ่ายเงินสมทบไม่ได้ถูกปรับมาเป็นเวลานาน: เพดานค่าจ้าง 15,000 บาทต่อเดือน กำหนดตั้งแต่ปี 2533
อัตราเงินสมทบที่จัดเก็บอยู่ในระดับที่ต่ำเกินไป: อัตราเงินสมทบรวม 3 ฝ่าย (ลูกจ้าง นายจ้าง รัฐบาล) อยู่ที่ร้อยละ 12.5 ของเงินเดือน ซึ่งต่ำกว่าอัตราเงินสมทบต้นทุน
อายุผู้มีสิทธิได้รับเงินบำนาญชราภาพต่ำเกินไป: กำหนดให้ผู้ประกันตนมีสิทธิขอรับเงินบำนาญได้ตั้งแต่อายุ 55 ปี ซึ่งไม่สอดคล้องกับอายุขัยเฉลี่ยของคนไทยที่เพิ่มสูงขึ้น
แนวทางแก้ไขปัญหาและความท้าทาย
เพื่อแก้ไขปัญหาและความท้าทายต่างๆ ที่กองทุนประกันสังคมกำลังเผชิญ นักวิชาการและผู้เกี่ยวข้องได้เสนอแนะแนวทางแก้ไขหลายประการ
การปรับโครงสร้างกองทุน: เป็นแนวทางที่ได้รับการกล่าวถึงมากที่สุด โดยมีรายละเอียดดังนี้
การปรับเพดานค่าจ้าง: ยกเลิกเพดานค่าจ้างสูงสุดและปล่อยให้เพดานค่าจ้างปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 2 ต่อปี
การปรับอัตราเงินสมทบ: ปรับอัตราเงินสมทบแบบขั้นบันได โดยทยอยเพิ่มอัตราเงินสมทบในแต่ละช่วงเวลา
การขยายอายุเกษียณ: ขยายอายุผู้มีสิทธิรับบำนาญ โดยค่อยๆ ปรับเพิ่มขึ้นทีละน้อย
การเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการกองทุน
การลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย: กระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายมากขึ้น
การบริหารจัดการต้นทุน: ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน
การสร้างความโปร่งใส: เปิดเผยข้อมูลและผลการดำเนินงานของกองทุนให้สาธารณชนได้รับทราบ
การแก้ไขกฎหมายประกันสังคม: ปรับปรุงกฎหมายให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
การออกระเบียบที่ชัดเจน: กำหนดหลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติที่ชัดเจนเพื่อให้การบริหารจัดการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
การให้ความรู้แก่ผู้ประกันตน: สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ของผู้ประกันตน
การสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วน: สร้างความร่วมมือระหว่างรัฐบาล นายจ้าง ลูกจ้าง และผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ
การประเมินความมั่นคงของกองทุนอย่างสม่ำเสมอ: กำหนดให้มีการประเมินความมั่นคงของเงินกองทุนโดยยึดหลักคณิตศาสตร์ประกันภัย
ระบบประกันสังคมเป็น กลไกสำคัญในการสร้างหลักประกันและความมั่นคง ในชีวิตของประชาชน ประเทศไทยได้พัฒนาระบบประกันสังคมมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2495 จนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ระบบประกันสังคมไทยกำลังเผชิญกับ ความท้าทายหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาด้านโครงสร้างประชากรและการเงิน
การแก้ไขปัญหาและความท้าทายเหล่านี้ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ในการปรับปรุงโครงสร้างกองทุน เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ และสร้างความเข้าใจและความร่วมมือกับผู้ประกันตน การดำเนินการอย่างทันท่วงทีและเหมาะสมจะช่วยให้ระบบประกันสังคมไทย มีความยั่งยืนและสามารถเป็นหลักประกัน ให้แก่ประชาชนได้อย่างแท้จริง
การ ปรับปรุงระบบประกันสังคม ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำเพื่อให้ระบบประกันสังคมสามารถ ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน และเป็น หลักประกันที่มั่นคง สำหรับอนาคตของสังคมไทย
อ้างอิง