SHORT CUT
ระบบราชการไทย เป็นระบบที่มีปัญหาเพราะมีงานทับซ้อน ขณะที่ราชการบางกลุ่มเองไม่เคยมองว่าตนเองต้องเป็นผู้ที่รับใช้ประชาชน ทำให้พวกเขาเองไม่ตอบสนองประโยชน์
ประเทศไทยต้องเผชิญกับความท้าทายที่ซับซ้อนในระบบราชการของตนเอง แม้ว่าจะมีสัดส่วนข้าราชการต่อประชากรที่ดูเหมือนจะเพียงพอ 1 ต่อ 22 คน
แต่ประสิทธิภาพในการให้บริการประชาชนกลับไม่เป็นที่น่าพอใจ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่จำนวนบุคลากรเพียงอย่างเดียว, แต่อยู่ที่โครงสร้าง, วิธีคิด, และวัฒนธรรมองค์กรที่ฝังรากลึก. การปฏิสัมพันธ์กับหน่วยงานภาครัฐจึงกลายเป็นประสบการณ์ที่น่าเบื่อหน่าย, ล่าช้า, และในหลายครั้ง, สิ้นหวัง. ราวกับว่ามี "มือที่มองไม่เห็น" คอยถ่วงรั้งการพัฒนาประเทศ, ทำให้ศักยภาพของชาติไม่สามารถเบ่งบานได้อย่างเต็มที่
รากฐานทางประวัติศาสตร์: ระบบราชการไทยมีวิวัฒนาการมาจากการรวมศูนย์อำนาจในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 แต่ค่านิยมและโครงสร้างอำนาจแบบเดิมยังคงอยู่ การรวมศูนย์อำนาจทำให้การตัดสินใจต่างๆ กระจุกตัวอยู่ที่ส่วนกลาง ขาดความคล่องตัว และไม่ตอบสนองต่อความต้องการของท้องถิ่น.
การผสมพันธุ์กับอำนาจอื่น: รัฐราชการไทยไม่ได้จำกัดอยู่แค่ข้าราชการ แต่ยังมีการผสมผสานกับกลุ่มทุน นักการเมือง และกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ การ "ผสมพันธุ์" นี้ทำให้ระบบมีความซับซ้อน ขาดความโปร่งใสและยากต่อการตรวจสอบ กลุ่มต่างๆ เหล่านี้เข้ามามีบทบาทในการกำหนดนโยบายและบริหารประเทศ ทำให้ผลประโยชน์ของประชาชนถูกมองข้ามไป
วิธีคิดแบบรวมศูนย์อำนาจ: ข้าราชการจำนวนมากไม่ได้มองว่าตนเองเป็นผู้รับใช้ประชาชน แต่เป็นผู้ใช้อำนาจที่ได้รับมอบหมายจากรัฐ พวกเขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับการตอบสนองความต้องการของประชาชน แต่ให้ความสำคัญกับการปฏิบัติตามกฎระเบียบและรักษาอำนาจของตนเอง วิธีคิดนี้ทำให้เกิดความเฉื่อยชา ขาดความคิดสร้างสรรค์และไม่เต็มใจที่จะเปลี่ยนแปลง
สถิติ: ในปีงบประมาณ 2566, ประเทศไทยมีกำลังคนภาครัฐรวมทั้งสิ้น 3,037,803 คน, คิดเป็นข้าราชการ 1,756,259 คน (57.81%). สัดส่วนนี้อาจดูเหมือนไม่มากเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรทั้งหมด (66.05 ล้านคน) แต่อาจไม่ได้สะท้อนถึงประสิทธิภาพที่แท้จริง
การกระจายตัว: ปัญหาไม่ได้อยู่ที่จำนวนข้าราชการ แต่อยู่ที่การกระจายตัวของบุคลากรที่ไม่สมดุล บางหน่วยงานมีบุคลากรมากเกินความจำเป็น ในขณะที่บางหน่วยงานขาดแคลนอย่างมาก นอกจากนี้ ข้าราชการส่วนใหญ่อยู่ในส่วนกลาง ทำให้การบริการในระดับท้องถิ่นไม่ทั่วถึง.
ประสิทธิภาพ: แม้จะมีบุคลากรจำนวนมาก แต่ระบบราชการไทยยังคงมีปัญหาเรื่องประสิทธิภาพ การทำงานซ้ำซ้อน การประสานงานที่ไม่มีประสิทธิภาพและการขาดแรงจูงใจในการพัฒนาตนเองทำให้ผลงานโดยรวมต่ำกว่าที่ควรจะเป็.
Bureaucracy: ระบบราชการที่เน้นการควบคุม การสั่งการและการรักษาสถานะเดิมข้าราชการที่อยู่ในระบบนี้มักจะมองว่าตนเองมีอำนาจเหนือประชาชน ไม่ไว้วางใจนักการเมืองและพยายามที่จะกอบโกยอำนาจไว้กับตนเองพวกเขามักจะต่อต้านการเปลี่ยนแปลงและพยายามที่จะรักษาระบบเดิมไว้แม้ว่าระบบนั้นจะไม่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน
Civil Service: ระบบการบริการที่เน้นการรับใช้ประชาชน ความโปร่งใส และความรับผิดชอบ ข้าราชการที่อยู่ในระบบนี้จะมองว่าตนเองเป็นผู้รับใช้ประชาชน รับฟังความคิดเห็นของประชาชน และพยายามที่จะตอบสนองความต้องการของประชาชน พวกเขาพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงระบบเพื่อให้การบริการดีขึ้น
การเปลี่ยนสำนึก: การเปลี่ยนสำนึกของข้าราชการจาก "Bureaucrats" เป็น "Civil Servants" เป็นสิ่งสำคัญในการปฏิรูประบบราชการไทย การสร้างความตระหนักถึงบทบาทของการเป็นผู้รับใช้ประชาชน การส่งเสริมความโปร่งใสและความรับผิดชอบและการให้รางวัลแก่ข้าราชการที่ทำงานเพื่อประชาชนเป็นสิ่งจำเป็น
สาเหตุ: การรัฐประหารในประเทศไทยมักมีสาเหตุมาจากการที่ข้าราชการไม่ไว้วางใจนักการเมืองและมองว่านักการเมืองทุจริตและแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว. เมื่อข้าราชการรู้สึกว่าอำนาจของตนถูกคุกคาม พวกเขาก็จะใช้การรัฐประหารเป็นเครื่องมือในการ "รีเซ็ต" ทุกอย่าง
ผลกระทบ: การรัฐประหารไม่ได้แก้ปัญหาที่แท้จริงแต่กลับทำให้ปัญหารุนแรงขึ้นการรัฐประหารทำลายระบอบประชาธิปไตยละเมิดสิทธิมนุษยชน, และสร้างความแตกแยกในสังคม นอกจากนี้การรัฐประหารยังทำให้ประเทศไทยขาดความน่าเชื่อถือในสายตาของนานาชาติและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ
ทางออก: การสร้างระบบราชการที่เข้มแข็งและเป็นอิสระจากนักการเมือง การส่งเสริมความโปร่งใสและความรับผิดชอบและการสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองที่เคารพกฎหมายและสิทธิมนุษยชนเป็นสิ่งจำเป็นในการป้องกันการรัฐประหารนอกจากนี้การเสริมสร้างความเข้มแข็งของภาคประชาสังคมและการสร้างความตระหนักทางการเมืองของประชาชนก็เป็นสิ่งสำคัญ
รัฐราชการไทยเป็นระบบที่ซับซ้อนและมีปัญหามากมายการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่ายและต้องใช้ความพยายามอย่างต่อเนื่องจากทุกภาคส่วนในสังคม การปฏิรูประบบราชการไทยต้องเริ่มต้นจากการเปลี่ยนวิธีคิดของข้าราชการ ปรับโครงสร้างองค์กรและสร้างความรับผิดชอบต่อประชาชนตราบใดที่เรายังไม่สามารถทำลายกำแพงแห่งการรวมศูนย์อำนาจและสร้างสำนึกของการบริการสาธารณะประเทศไทยก็จะยังคงติดอยู่กับวังวนเดิมๆวังวนที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ฝืนทนและความสิ้นหวังที่ซ่อนอยู่ภายใต้เครื่องแบบข้าราชการการสร้างสังคมที่เป็นธรรมโปร่งใสและมีประสิทธิภาพจึงเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่รอเราอยู่
อ้างอิง
กรุงเทพธุรกิจ / ราชการ / ประชาไท / The Matter / LIRT /