ถึง A.I. จะถูกนำมาใช้งานในวงการสื่อไทยหลายรูปแบบ แต่มันอาจจะสร้างความเปลี่ยนแปลงระดับ 'พลิกวงการ' ได้ไม่เร็วขนาดนั้น เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น?
"AI จะเข้ามาแย่งงานนักข่าว ทำให้คนตกงานจำนวนมาก"
"ไม่หรอก AI จะเข้ามาช่วยต่างหาก ! แถมยังทำให้มีอาชีพใหม่ๆ เพิ่มขึ้นด้วย"
"AI จะเปลี่ยนวงการสื่อไปตลอดกาล เหมือนที่ social media ทำอยู่ในปัจจุบัน"
"AI จะ.."
สารพัดการ 'คาดการณ์' เกี่ยวกับผลกระทบของ AI หรือปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) ต่อวงการสื่อมวลชนทั่วโลกมีขึ้นอย่างมากมาย หลังจาก ChatGPT แชตบอตแสนฉลาดเปิดตัวอย่างน่าตื่นตาตื่นใจในปี พ.ศ. 2565 ก่อนที่ AI แบรนด์อื่นซึ่งเปิดตัวในเวลาใกล้เคียงจะได้รับความนิยมมากขึ้น ทั้ง Bard (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Gemini), Claude, Llama, Grok, Copilot, DeepSeek, Midjourney, DALL-E ฯลฯ ด้วยฟังก์ชั่นที่หลากหลาย ทั้งเป็นแชตบอต สร้างภาพ สร้างวีดิโอ สร้างเสียง หรือช่วยงานต่าง ๆ
พัฒนาการอย่างรวดเร็วราวติดจรวด พร้อมคำโฆษณาสรรพคุณว่าจะช่วยสร้างสรรค์ผลงานใหม่ ๆ ทำให้กระแส 'ตื่น AI' เป็นไปอย่างกว้างขวางในหลากหลายอุตสาหกรรม รวมไปถึงสื่อมวลชน
ในแวดวงสื่อไทย เฉพาะปี พ.ศ. 2566 – 2567 มีการนำ AI มาใช้ในการทำงานหลายอย่าง อาทิ
ยังไม่รวมถึงการทำงานเบื้องหลัง เช่น ช่วยสร้างภาพนิ่ง, ฟุตเทจ(footage) หรือเสียง ที่หลายสื่อใช้กันมาพักใหญ่แล้ว
เมื่อผ่านมาระยะเวลาหนึ่ง ถามว่า AI สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับวงการสื่อไทยมากแค่ไหน และในอนาคตจะถึงขั้น 'พลิกวงการ' จากหน้าเป็นหลังมือเลยหรือไม่ ..ไปหาคำตอบพร้อม ๆ กัน
'โอกาส' กับ 'ข้อจำกัด' ของ AI
ไทยพีบีเอส เป็นหนึ่งในองค์กรสื่อที่ดูเหมือนจะตื่นตัวในการนำ AI มาช่วยงานในรูปแบบที่หลากหลาย น.ส.กนกพร ประสิทธิ์ผล ผู้อำนวยการสำนักสื่อดิจิทัล ไทยพีบีเอส ให้ข้อมูลว่า การนำ AI มาใช้ แบ่งได้เป็น 2 รูปแบบใหญ่ ๆ
จากประสบการณ์การใช้งาน AI ที่ผ่านมา ทำให้พบกับ 'ข้อจำกัด' หลายอย่าง โดย น.ส.กนกพร ยกตัวอย่างภาพนิ่งที่ AI สร้างขึ้นมาและกลายเป็นดราม่า เมื่อคนในภาพมี 6 นิ้วแทนที่จะเป็น 5 นิ้ว จนได้ข้อสรุปว่า สุดท้ายก็ยังต้องมี 'คน' เข้าไปอยู่ในกระบวนการเพื่อคอยตรวจเช็คอีก
ทั้งนี้ ยังไม่รวมถึงสารพัดประเด็นที่ต้องขบคิดหาข้อสรุปกันต่อไป ทั้งเรื่องกาลเทศะ, ความเหมาะสมในการใช้งาน, คำถามเรื่องลิขสิทธิ์ ฯลฯ
“การนำ AI มาช่วยทำงาน มันไม่ได้เท่ากับว่าต้องไปลดคน บางทีต้องเพิ่มงานเพิ่มคนด้วยซ้ำ เพราะต้อง cross check ตัองมีคนเข้าไปอยู่ในกระบวนการตลอด ก่อนจะเผยแพร่ออกไป” น.ส.กนกพรกล่าว
ในทางตรงข้ามก็พบ 'โอกาส' ที่ AI มอบให้ คือการช่วยทำให้เนื้อหาข่าวเข้าไปถึงคนบางกลุ่มได้ง่ายขึ้น เช่น คนตาบอด ไทยพีบีเอสทำให้ข่าวในเว็บสามารถแปลงตัวหนังสือเป็นเสียง (text-to-speech) ได้ทั้งหมด รวมถึงต่อยอดงานบางอย่างที่สามารถเพิ่มมูลค่าของงานได้
แม้การใช้ AI เข้ามาจะยังช่วยเพิ่มเรตติ้งให้กับไทยพีบีเอสได้ไม่มากนัก แต่ น.ส.กนกพรก็มองว่า ข้อดีของ AI คือช่วยสร้าง branding ทั้งในเชิงการเป็นองค์กรสื่อที่นำ AI มาใช้ ทั้งการสร้างภาพลักษณ์ว่าเราพยายามใส่ใจผู้ชมทุกกลุ่ม เช่น คนตาบอด หรือการทำให้ตัวหนังสือใหญ่ขึ้นสำหรับผู้สูงอายุ อีกอย่าง คือ เหมือนเป็นห้องเรียนสำหรับการปรับปรุงพัฒนาการใช้งาน AI ให้ดีขึ้นต่อไป
AI จะมา “พลิก” วงการสื่อไทยไหม?
"สำหรับสื่อไทย การใช้ AI ยังไม่ใช่ความจำเป็นสำหรับองค์กรข่าว มันไม่เหมือนกับบริษัทเทคโนโลยีหรือธนาคาร อย่างตอนนี้ สื่อเองก็ยังปากกัดตีนถีบกันอยู่เลย AI จึงยังไม่ใช่ priority หลัก"
น.ส.กนกพรตอบคำถามเรื่อง AI จะมาเป็นตัวพลิกเกมสำหรับวงการข่าวหรือไม่
เธอขยายความว่า กระทั่งในไทยพีบีเอสเอง ความสนใจในการใช้งาน AI หลัก ๆ ก็ยังอยู่ที่หน่วยงานสื่อดิจิทัล ที่ไม่ใช่ว่าฝั่งสื่อโทรทัศน์เขาไม่ตอบรับหรือคัดค้าน แต่เพราะหน้างานของเขายังคงเป็นเรื่องรูทีน (Routine-กิจวัตรประจำวัน) ที่ต่อให้ยังไม่มี AI ก็ยังอยู่ได้
มีหลายปัจจัยที่ชี้วัดว่า AI จะเข้ามาสร้างผลกระทบให้กับสื่อไทยได้มากน้อยแค่ไหน เช่น 'งบประมาณ' เพราะปัจจุบัน AI ยังมีราคาค่อนข้างสูง, 'นโยบาย' ของผู้บริหารองค์กรสื่อจริงจังกับเรื่องนี้แค่ไหน, 'คู่แข่งในตลาด' โดยเฉพาะเบอร์ต้น ๆ ของวงการหันมาใช้หรือยัง และอีกปัจจัยสำคัญในฐานะองค์กรข่าวคือเรื่องของ 'จริยธรรม'
“เราต้องยอมรับว่า AI มันใช้เงิน ใช้เวลา ใช้ทรัพยากรต่าง ๆ แล้วไม่ได้หมายความว่า ยอดมันจะดี (น.ส.กนกพรขยายความว่า บางคลิปวีดิโอที่ตัดต่อง่าย ๆ ได้ยอดวิวดีกว่าคลิปที่ใช้ AI ช่วยทำอย่างมหาศาล) ถ้าเราหวังว่าพอเติมฟีเจอร์นี้แล้วจะทำให้ยอดคนอ่านเราถล่มทลาย มันยังไม่ถึงขนาดนั้น ตอนนี้อย่าเพิ่งมาถามเรื่องความคุ้มค่า เพราะ AI ยังไม่ตอบโจทย์”
ในความเห็นของผู้อำนวยการสำนักสื่อดิจิทัล ไทยพีบีเอส มองว่า ถ้าจะมี 'จุดเปลี่ยน' ที่ AI สร้างผลกระทบต่อวงการสื่อไทยได้จริง ๆ จะต้องทำในสิ่งที่ 'ยังไม่มีคนทำ-หาคนทำไม่ได้' เช่น ให้มีผู้ประกาศข่าว AI ที่สามารถรายงานข่าวภัยพิบัติเช่นน้ำท่วมได้ตลอด 24 ชั่วโมง เป็นต้น
อีกปัจจัยสำคัญที่น่าจะสร้างจุดเปลี่ยน คือการถูกผู้ชม (audience) บังคับให้เปลี่ยน เช่นเดียวกับสมัย social media เฟื่องฟู ก็น่าจะทำให้สื่อไทยขยับนำ AI มาใช้มากขึ้น
'อนาคต' ของ AI ต่อวงการสื่อ
ความจริงแล้ว บทความนี้เราอยากจะลองใช้ AI มาช่วยเขียนโครงเรื่องหลัก แล้วผู้เขียนค่อยมาปรับปรุงแก้ไขสำนวนนิดหน่อย โดยอาจจะไปสัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้องนำข้อมูลมาใส่เพิ่มเติมให้ครบถ้วนขึ้นเท่านั้น (เพื่อดูว่า AI พร้อมจะมาแทนนักข่าวหรือนักเขียนแล้วหรือยัง)
แต่จากประสบการณ์ที่ลองใช้ AI แบรนด์ดังอยู่นับสัปดาห์ ทั้ง ChatGPT, DeepSeek, Gemini และ Claude ก็พบว่า สำนวนภาษาที่ออกมาก็ยังอยู่ในรูปแบบของหุ่นยนต์ แข็งทื่อ แห้งแล้ง ไร้ชีวิตชีวา ไม่รวมไปถึงว่าข้อมูลบางอย่างที่หยิบยกมาอาจจะไม่ถูกต้อง
แต่หากนำไปเทียบกับการลองใช้งานในช่วงเปิดตัวใหม่ ๆ จะพบว่า AI ทุกแบรนด์ได้พัฒนาขึ้นไปมาก มีการประมวลข้อมูลมาผลิตเป็นชุดข้อความที่ซับซ้อนมากขึ้น
หนึ่งในคำถามที่เราลองให้ AI คิด ก็คือ “สำหรับองค์กรสื่อ AI กับคนจะอยู่ร่วมกันอย่างไรต่อไป ในอนาคต”
และนี่คือคำตอบ
ถึงจะดูเหมือนก้าวหน้าไปไกล แต่นักวิเคราะห์หลายคนก็มองว่า AI ในยุคปัจจุบัน ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น (early stage) เท่านั้น เช่นเดียวกับการพูดถึงผลกระทบของ AI ต่อวงการสื่อไทยและวงการสื่อโลก ซึ่งต้องติดตามกันต่อไป
เพราะเมื่อไรก็ตามที่ 'จุดเปลี่ยน' มาถึง มันอาจมาในรูปแบบที่เร็วและแรง จนหากไม่เตรียมตัวไว้ล่วงหน้า จะไปรอปรับตัวตอนนั้น ก็อาจจะไม่ทันเวลาแล้ว