SHORT CUT
โลกก้าวสู่ยุคขวาจัด ที่มีไทยเป็นต้นแบบ ภายใต้เผด็จการที่แต่งหน้าให้ดูดี การต่อสู้ของเสรีประชาธิปไตยในวันที่โลกเอียงขวา บทบาทของศาลและรัฐพันลึก
กระแสขวาจัดที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นในยุโรป หรือสหรัฐอเมริกา ที่เห็นได้ชัดคือการขึ้นมามีอำนาจของประธานาธิบดี โดนัล ทรัมป์ ที่มาพร้อมกับนโยบาย America Great Again สะท้อนให้เห็นอย่างได้ถึงกระแสเอียงขวา ชาตินิยม ประชานิยม ที่ทำให้มีความเผด็จการมากขึ้น สวนทางกับสิทธิมนุษยชนที่กำลังตกต่ำ ขณะที่ไทยวนอยู่ในความขวา ประชาธิปไตยไม่ไปไหน และมีการใช้รัฐบาลได้อย่างสิ้นเปลืองเหมือนกระดาษที่ใช้แล้วทิ้ง
SPRiNG มีโอกาสสัมภาษณ์ เออเชนี เมรีโอ (Eugénie Mérieau) อาจารย์ด้านกฎหมายรัฐธรรมนูญ ประจำมหาวิทยาลัย Paris Sorbonn และ Sciences-Po กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ถึงกระแสขวาจัดทั่วโลก รวมถึงความเป็นขวาๆ ฉบับการเมืองไทย
โดย อ.เออเชนี กรณีศึกษาการเมืองไทยและรัฐธรรมนูญไทย เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจมากที่สุด เพราะมี 20 ฉบับภายในไม่กี่ปี โดยทุกๆ 4-5 ปีมีการร่างรับธรรมนูญฉบับใหม่
ประเด็นอีกอันหนึ่งที่น่าสนใจในมุมมองของ อ.เออเชนี คือประเทศไทย นำกฎหมายจากหลายประเทศมาปรับใช้ทั้ง จีน ฝรั่งเศส เยอรมนี สหรัฐอเมริกา ขณะที่ศาลรัฐธรรมนูญไทยมีบทบาทมากในประเทศไทย ขณะที่เรามีทฤษฎีว่าศาลรัฐธรรมนูญคือศาลที่ช่วยให้ประชาธิปไตยพัฒนามากขึ้น แต่ประเทศไทยศาลรัฐธรรมนูญกลับเป็นอุปสรรค เป็นบทเรียนสำหรับทั่วโลก เพราะเป็นแนวโน้มที่กำลังจะเกิดขึ้นทั่วโลกศาลรัฐธรรมนูญจะมีอำนาจทางการเมืองมากขึ้น มีอำนาจที่ค่อนข้างเอียงไปฝ่ายอนุรักษนิยม
ขณะที่ไทยมีเรื่องที่เรียกว่านิติสงครามประเทศไทยอาจเป็นเบอร์ 1 ของโลก ในด้านนี้แต่ว่าในปัจจุบันกระแสดังกล่าวกำลังเผยแพร่ไปทั่วโลก รวมไปถึงยุโรปด้วย
“ประเทศไทยเป็นประเทศที่เผด็จการมีหน้าตาหล่อสวย เป็นหน้าตาของศาลรัฐธรรมนูญ” อ.เออเชนี กล่าว
อ.เออเชนี อธิบายให้ฟังว่า รัฐพันลึกคือรัฐที่ซ่อนตัว เป็นรัฐที่ไม่ได้อยู่ภายใต้อำนาจของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่ว่าใครจะชนะการเลือกตั้ง โครงสร้างดังกล่าวไม่เคยเปลี่ยน มาจากผลประโยชน์ของหลายสถาบันประกอบเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะสถาบันทหาร พระมหากษัตริย์ ทุนใหญ่ นักวิชาการบางส่วน รวมไปถึงอีลีท
สิ่งนี้เกิดขึ้นมาโดยมีประวัติศาสตร์ที่ชัดเจน โดยรัฐพันลึกมีพัฒนาการมาตั้งแต่ช่วงสงครามเย็น สหรัฐฯ ให้ทุนกับทหารและพระมหากษัตริย์มหาศาล ทำให้เป็นรัฐซ่อนในรัฐมีอำนาจ มีทุน มีเครือข่าย ที่มากกว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
ในยุคนั้นเป็นสิ่งที่สหรัฐฯ ใช้วิธีนี้ไปทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นอินโดนีเซีย โรมาเนีย เพราะสหรัฐฯ นำทหารเข้าไปเพื่อสู้กับคอมมิวนิสต์ ทำให้ประเทศเหล่านี้มีรัฐพันลึกที่มีอำนาจมหาศาลและพัฒนามาถึงทุกวันนี้
อ.เออเชนี ชวนมองว่าหากเรามีความเชื่อว่าปัญหาของการเมืองไทยคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างเดียว ดูใสซื่อไปนิดนึง เพราะถึงแม้หลายคนมองว่ากฎหมายรัฐธรรมนูญจะสามารถแก้ไขได้ทุกปัญหาแต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ เพราะมีกฎหมายอื่นที่ไม่ได้อยู่ในรัฐธรรมนูญกลายเป็นกฎหมายที่สำคัญ เช่น กฎหมายมาตรา 112 กฎอัยการศึก ที่ไม่อยู่ภายใต้รับธรรมนูญ ไหนจะมีกฎหมายเก่าที่ไม่ว่าจะเปลี่ยนรัฐธรรมนูญอย่างไร ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปอย่างลึกซึ้ง
ขณะที่กฎหมายรัฐธรรมนูญไม่ใช่ตัวอักษรอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยการตีความด้วย ถ้าดูเรื่องเอกลักษณ์ของรัฐธรรมนูญ เช่นเรื่องประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข คนที่มีอำนาจตีความก็คือศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญของไทยตีความเรื่องดังกล่าวค่อนไปฝ่ายอนุรักษนิยมอย่างมาก เคยวินิจฉัยว่ามาตรา 112 เป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทย ส่วนหนึ่งของรับธรรมนูญไม่สามารถเปลี่ยนได้
อีกตัวอย่างหนึ่งคือการวินิจฉัยว่าการรัฐประหารไม่ได้ต่อต้านเอกลักษณ์ของรัฐธรรมนูญ ดังนั้นหากมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ถึงแม้ไม่มีวุฒิสภาก็อาจจะช่วยได้ แต่ว่าหากมีศาลรัฐธรรมนูญที่ตีความไปแนวทางอนุรักษนิยมอย่างมาก จะยังมีอุปสรรคในการพัฒนาประชาธิปไตยต่อไป
หลายคนอาจจินตนาการว่าหากประเทศไทยมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญอีกครั้งจะมีบรรยากาศทางการเมืองแบบปี พ.ศ. 2540 และมีความหวังจะมีประชาธิปไตยมากขึ้น อ.เออเชนี ชวนคิดว่าเราต้องมาพูดถึงประชาธิปไตยแบบควบคุมเสียก่อน
เห็นได้จากรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ถึงแม้จะเป็นรัฐธรรมนูญที่ดี มีความเป็นประชาธิปไตย แต่รัฐประหารก็ยังเกิดขึ้นได้ และสุดท้ายศาลและองค์กรอื่นๆก็รับรองรัฐประหาร นั่นบ่งบอกว่ามีตัวช่วยในการรัฐประหาร
อีกอย่างหนึ่งคือกฎอัยการศึก ที่สร้างในรัฐธรรมนูญเพื่อรักษาประชาธิปไตย แต่จริงๆ กลับถูกใช้ทำร้ายประชาธิปไตย ดังนั้นกฎหมายรัฐธรรมนูญจึงขึ้นอยู่กับบริบทการเมืองเสียมากกว่า
การเมืองไทย สลายขั้วความขัดแย้ง สู่ฉันทามติทางรัฐธรรมนูญและการพัฒนาประชาธิปไตย
หลายคนมองว่าการเมืองไทย ณ ขณะนี้อยู่ในสภาวะสลายขั้วความขัดแย้งเหลือง-แดง และมีกลุ่มทุนคอยสนับสนุนเกิดการร่วมรัฐบาล หากเกิดการแก้รัฐธรรมนูญช่วงนี้อาจได้ฉันทามติของสังคมมากที่สุดหรือเปล่า
อ.เออเชนี มองว่า เป็นไปได้ ในฐานะนักวิจัยมองโครงสร้างสังคมไทยว่าพื้นที่การเมืองเล่นยากมาก สำหรับนักการเมือง นักวิชาการ หรือผู้รณรงค์ด้านประชาธิปไตย แต่จริงๆ มันทำได้ เห็นได้จาก รศ.ดร.ปิยบุตร แสงกนกกุล ที่ทำให้เห็นว่าถึงโครงสร้างจะเป็นแบบเดิม แต่สามารถทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงได้ ในฐานะนิติราษฎร์ และผู้ร่วมก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่
อ.เออเชนี มองว่าหากเรามองโลกแบบ คาร์ล มาร์กซ์ กฎหมายเป็นเพียงแค่สิ่งที่ทำให้เราเห็นว่าความสัมพันธ์ทางชนชั้นว่าใครมีอำนาจ ชนชั้นไหนครองอำนาจก็ออกกฎหมายเพื่อชนชั้นนั้น เราจึงควรไปให้ไกลกว่าการเปลี่ยนกฎหมาย แต่ต้องมุ่งหน้าเปลี่ยนความสัมพันธ์ทางชนชั้น
เรื่องต่อมาคือเรื่องของความคิด ยังมีความสำคัญในการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ เพราะคนรุ่นใหม่ไม่เอาโฆษณาชวนเชื่อแล้ว เห็นได้จากการเลือกตั้งครั้งล่าสุด พรรคที่เป็น Royalist สุดๆ ได้คะแนนเกือบศูนย์เปอร์เซ็นต์
“เวลาที่รุ่นเก่าจะออกจากการเมืองจะมาในเร็วๆ นี้ ขณะที่คนรุ่นใหม่จะสร้างประชาธิปไตยระบบการเมืองใหม่ๆ แต่ปัญหาคือยังมีปัญหาเรื่องชนชั้นนำ ชนชั้นปกครอง ที่ต้องการรักษาอภิสิทธิ์ของตนเองเอาไว้”
อ.เออเชนี ชวนมองว่า ประเทศไทยเอาระบบหลายอย่างมาจากฝรั่งเศส เวลาเราสอนกันจะบอกว่าฝรั่งเศสคือประเทศที่มีประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบ สร้างสรรค์สิทธิมนุษยชน แต่จริงๆแล้ว มันอาจไม่เป็นแบบที่สอนกันมา
อีกเรื่องหนึ่งคือการรัฐประหาร เป็นประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นคู่กับการเกิดรัฐธรรมนูญ ประเทศไทยเอาหลายอย่างมาจากฝรั่งเศสรวมถึงกฎหมายเผด็จการ เห็นได้จากสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 สนใจเอารัฐธรรมนูญฝรั่งเศสในยุคจักพรรดินโปเลียนที่ 3 มาใช้กับประเทศไทย เพราะเห็นว่ารัฐธรรมนูญเป็นไอเดียที่ดีที่ทำให้อำนาจของพระองค์สูงสุด
หรือมาตรา 17 ของ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่ใช้อำนาจเผด็จการบริหารประเทศก็ได้ลอกมาจากมาตรา 16 ในรัฐธรรมนูญฝรั่งเศส
หากเราดูรัฐธรรมนูญของฝรั่งเศสที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้ที่เกิดขึ้นในสมัยสาธารณรัฐที่ 5 มีการใช้กฎหมายที่ให้อำนาจเผด็จการแก่ประธานาธิบดีค่อนข้างเยอะ กล่าวกันว่า นี่คือการเปลี่ยนสาธารณรัฐให้เป็นระบบกษัตริย์มากขึ้น จาก สาธารณรัฐ République ให้กลายเป็น กษัตริย์แบบสาธารณรัฐ Monarchie républicaine นั่นคือ ประธานาธิบดีที่มาจากการเลือกตั้งเริ่มมีอำนาจเด็ดขาดและไม่ต้องรับผิด เหมือนเป็นกษัตริย์
ดังนั้น อ.เออเชนี เห็นว่าหากเปรียบเทียบไทยกับฝรั่งเศสมีความน่าสนใจหลายเรื่อง ไม่ใช่ในเรื่องความเป็นประชาธิปไตยแต่เป็นเรื่องเผด็จการมากกว่า ประเทศไทยและฝรั่งเศส มีระบบสภาอยู่ภายใต้ประมุขของรัฐ คนที่มีอำนาจยับยั้งร่างกฎหมาย คือประมุขของรัฐ คนที่ใช้กฎอัยการศึกก็คือทหาร ด้วย 2 ระบบนี้ที่คนทั่วไปมองว่าคนละเรื่อง แต่จริงๆ แล้วเปรียบเทียบกันได้ สุดท้ายมันคือประชาธิปไตยที่มีการคัดง้างตลอดเวลา
ยกตัวอย่างในการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2566 พรรคก้าวไกลชนะการเลือกตั้ง แต่ไม่สามารถตั้งรัฐบาลได้ โดยใช้หลากหลายวิธีเพื่อสกัดกั้น เช่นเดียวกับฝรั่งเศสที่มีการเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2567 ประธานาธิบดี เอมมานูเอล มาครง ตัดสินใจยุบสภา ให้มีการเลือกตั้งใหม่โดยไม่มีสาเหตุ ปรากฏว่าฝ่ายซ้ายชนะการเลือกตั้ง แต่มาครง ไม่ยอมแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีที่มาจากพรรคฝ่ายซ้าย
“ทำให้เห็นว่าระบบประชาธิปไตยแบบนี้เป็นประชาธิปไตยที่คนชนะการเลือกตั้งไม่ได้แปลว่าเขาจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ นี่คือปัญหาหลัก”
ในอดีตเราเห็นว่าประชาธิปไตยแบบตะวันตกเป็น The End of History ตอนนี้เห็นชัดเจนว่า The End of History อยู่ที่เผด็จการ การเดินทางของประวัติศาสตร์กำลังเปลี่ยน ตัวอย่างของไทยอาจเป็นภาพของอนาคตโลกที่นำศาลรัฐธรรมนูญมาจัดการการเลือกตั้งมากขึ้น หากมีผลการเลือกตั้งที่ผู้มีอำนาจไม่ชอบก็จะมาตัดสินให้โมฆะ ซึ่งลักษณะนี้กำลังเกิดขึ้นทั่วยุโรปแล้ว อ.เออเชนี กล่าว
อ.เออเชนี ชี้ให้เห็นว่า กฎอัยการศึกในประเทศที่เป็นประชาธิปไตยมักไม่ได้ใช้อย่างง่ายดาย ตัวอย่างเช่นในเกาหลีใต้เขียนในมาตรา 77 ให้ประธานาธิบดีมีอำนาจประกาศกฎอัยการศึกก็จริง แต่หากสภามีมติโหวตให้ยกเลิกก็สามารถทำได้ เพราะเกาหลีใต้ผ่านช่วงเวลาของการประกาศกฎอัยการศึกภายใต้เผด็จการมาอย่างยาวนาน ประชาชนของเกาหลีใต้เวลาเขาร่างรัฐธรรมนูญเขาจะเขียนให้เผด็จการกลับมาไม่ได้
สิ่งหนึ่งที่ทำให้ประชาชนเข้มแข็งคือเขามีประสบการณ์ชนะต่อเผด็จการ ประชาชนต้องชนะเพื่อจะแกร่งขึ้น ไม่งั้นจะลืมว่าชัยชนะนั้นเป็นไปได้
ในขณะที่ไทยเวลาประชาชนออกมา เช่นในอดีตอันใกล้คนเสื้อแดง แพ้และตาย ดังนั้นประสบการณ์จึงไม่เหมือนกัน
เราต้องคิดว่าสภามีอำนาจ ประชาชนมีอำนาจ อ.เออเชนี กล่าว
อ.เออเชนี บอกกับเราว่า การเกิดขึ้นของพรรคอนาคตใหม่ทำให้การเกิดขึ้นของรัฐประหารเกิดขึ้นได้ยากมาก เพราะการเลือกตั้งครั้งล่าสุด พรรคที่สืบทอดเจตนารมณ์จากพรรคอนาคตใหม่อย่างพรรคก้าวไกล ชนะการเลือกตั้งเกือบทุกเขตในกรุงเทพมหานคร
เมื่อมองไปในอดีต คนกรุงเทพฯ คนในเมือง เป็นพลังสำคัญในการสนับสนุนการรัฐประหาร หรือไม่ก็เป็นพวกที่ไม่สนใจการเมือง แต่ถ้าพรุ่งนี้ถ้ามีกรุงเทพฯ ที่ไม่เอาการรัฐประหาร รัฐประหารจะไม่สำเร็จ
สิ่งที่พรรคอนาคตใหม่ ก้าวไกล ทำได้สำเร็จคือชนะเลือกตั้งในกรุงเทพฯ และทั้งประเทศ จะเห็นได้ว่าไม่มีเรื่องแดง-เหลืองแล้ว ถ้ามีการรัฐประหารเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้คงจะไม่สำเร็จ
การที่พรรคจะสร้างคนรุ่นใหม่ย่อมมีอุปสรรคแต่ย่อมทำให้พรรคเข้มแข็งเช่นกัน เพราะต้องสร้างคนรุ่นใหม่และเติบโตตลอดเวลา หากพูดถึงอนาคตของแต่ละพรรค เช่น พรรคประชาธิปัตย์ ก็ค่อยๆหายไปแล้ว พรรคเพื่อไทย ก็อาจเป็นพรรคต่อไป เพราะผิดคำพูดต่อประชาชน ข้ามขั้วไปเป็นพันธมิตรกับทหาร และไม่ทำตามสัญญาที่หาเสียงไว้
รอบต่อไปพรรคประชาชนอาจเป็นพรรคลำดับที่หนึ่ง แม้ว่า 44 คนจะโดนตัดสิทธิก็ตาม แต่จะตั้งรัฐบาลได้หรือเปล่า เป็นอีกปัญหาหนึ่ง
อ.เออเชนี ชี้ให้เห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญฝรั่งเศสเริ่มมีกระบวนการคล้ายศาลรัฐธรรมนูญไทยเช่นกัน เห็นได้จาก การตีความอุดมการณ์แบบ “สาธารณรัฐ” ที่กว้างขวางออกไป จนอาจทำให้พรรคการเมืองที่ radical ทั้งซ้ายและขวาในฝรั่งเศส อาจถูกวินิจฉัยว่าเป็นศัตรูกับความเป็นสาธารณรัฐของฝรั่งเศสก็ได้ เหมือนกับที่ศาลรัฐธรรมนูญไทยตีความคำว่า “ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข” อย่างกว้างขวาง
เห็นได้ชัดเจนว่าไม่ใช่แค่ตัวบท แต่อยู่ที่การตีความที่ขึ้นอยู่กับศาลรัฐธรรมนูญ รวมไปถึงความขัดแย้งของสังคมส่งผลต่อการตีความของศาลรัฐธรรมนูญ
สิ่งที่พรรคอนาคตใหม่ ก้าวไกล ทำได้สำเร็จ แต่พรรคก้าวหน้าใหม่ๆในฝรั่งเศสยังทำไม่ได้ คือ การใช้เวลาไม่นานเปลี่ยนความคิดคน และชนะการเลือกตั้ง กลายเป็นพรรคอันดับหนึ่ง
สิ่งที่พวกเขาทำ คือบทเรียนที่ควรศึกษาในประวัติศาสตร์การเมือง
ส่วนชีวิตคู่นั้น อ.เออเชนี คือคู่ชีวิต ของ อ.ปิยบุตร โดย อ.เออเชนี เล่าให้ฟังว่ามาทำงานวิจัยระดับปริญญาเอกที่ประเทศไทย มาเป็นนักวิจัยที่สถาบันพระปกเกล้า รู้สึกว่าสนใจเรื่องรัฐธรรมนูญและการเมือง เป็นช่วงเสื้อแดง-เสื้อเหลือง ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคการเมืองเต็มไปหมด และเกิดการรัฐประหารโดยทหาร
ซึ่งตรงกันข้ามกับสิ่งที่เรียน ทำให้รู้สึกต้องศึกษา จำได้ว่าไปฟังนิติราษฎร์พูด รู้สึกประทับใจมาก โดยเฉพาะคนคนหนึ่งที่พูดเก่งมากกว่าผู้อื่น รู้สึกว่าต้องคุยกับคนคนนี้
ตอนนั้นเขียนหนังสือเล่มแรกในชีวิตเกี่ยวกับเสื้อแดง ต้องลงพื้นที่หาข้อมูลทั้งหมู่บ้านเสื้อแดง ตลอดจนที่ชุมนุม ขณะที่ อ.ปิยบุตร กำลังทำแคมเปญเรื่องการแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 มีโอกาสเดินทางด้วยกันในไทย
สิ่งที่ประทับใจในตัว อ.ปิยบุตร คือคิดถึงคนอื่น คิดถึงประชาธิปไตย ประชาชนคนไทย ไม่คิดถึงเรื่องส่วนตัว เราทั้ง 2 คนมีเป้าหมายทางวิชาการทางสังคม ที่ต่างคนอยากอธิบายถึงปัญหาประชาธิปไตยในประเทศของเราทั้งคู่ แต่เขาทำสำเร็จมากกว่า อ.เออเชนี พูดพร้อมหัวเราะ
สิ่งที่ภูมิใจในตัว อ.ปิยบุตร คือเป็นนักทฤษฎีที่ปฏิบัติจริง ซึ่งหาได้น้อยมากในปัจจุบัน ซึ่งในอดีตเป็นเรื่องปกติในบรรดานักการเมือง โดยเฉพาะสายเปลี่ยนแปลงจะเขียนผลงานเยอะมากและนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงด้วย
เรื่องที่คุยกันได้นานที่สุดคุยได้เรื่อยๆ แน่นอนคือเรื่องการเมือง เราจะสอนซึ่งกันและกันเกี่ยวกับตะวันตกตะวันออก อ.ปิยบุตร จะสนใจยุโรป ลาตินอเมริกามาก ขณะที่ฉันสนใจเอเชีย ทำให้เรามีอิทธิพลต่อกันและกัน อ.เออเชนี กล่าว
ขณะที่นักการเมืองยุคปัจจุบันเน้นหล่อ สวย โปรไฟล์ดี นำเสนอดี พูดดี แต่ไม่ได้มีผลงานด้านทฤษฎี ขณะที่ อ.ปิยบุตร เป็นคนที่ทำได้ทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ เป็นสิ่งที่ประทับใจในตัวเขามากที่สุด
อ.เออเชนี ทิ้งท้ายด้วยการพูดถึงหนังสือที่เขียนถึงการเมืองไทย แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่อาจารย์สนใจคือ เรื่องรัฐธรรมนูญไทยตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งได้หลายรางวัล เคยพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษในปี พ.ศ. 2564 ล่าสุดจะพิมพ์เป็นภาษาไทยกับสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน ใครสนใจก็สามารถติดตามได้เร็วๆ นี้
แนะนำว่าหากใครยังรู้สึกไม่เต็มอิ่มจากบทสัมภาษณ์ก็รอติดตามผลงานเกี่ยวกับการเมืองไทยของอาจารย์ได้ในอีกไม่นาน
เรียกได้ว่า SPRiNG ได้มีโอกาสคุยกับ อ.เออเชนี ครบทุกรสชาติ ตั้งแต่การเมือง งานวิชาการ ตลอดจนชีวิตส่วนตัว ที่สุดท้ายแล้วชีวิตของอาจารย์ไม่ได้ยึดติดเรื่องใดเรื่องหนึ่งแค่สิ่งเดียว แต่ทุกเรื่องราวล้วนสอดรับประสานขับเคลื่อนอุดมการณ์ให้อาจารย์ดำเนินชีวิตไปได้ด้วยความสุข
รับชมเพิ่มเติม
ข่าวที่เกี่ยวข้อง