"ธีรยุทธ สุวรรณเกษร" มือสอยก้าวไกล งัดเอกสารกว่า 5 พันแผ่น ยื่นศาล รธน.สั่ง“ทักษิณ-เพื่อไทย“ เลิกใช้สิทธิ-เสรีภาพ นำไปสู่ล้มล้างการปกครอง.
จากกรณีที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ออกมาแถลงด้วยตัวเองว่า มีเรื่องใหญ่ โดยในวันที่ 10 ต.ค. 67 นี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาใหญ่มากของพรรคแกนนำรัฐบาล ซึ่งอาจจะพัฒนาไปสู่บทจบของพรรคแกนนำรัฐบาล ตามที่มีการนำเสนอข่าวไปก่อนหน้านี้
ล่าสุดวันนี้ (10 ต.ค. 67) นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร อดีตทนายความของอดีตพระพุทธะอิสระ เปิดเผยกับ “เนชั่นทีวี” ว่า กำลังเดินทางไปยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ในคดีล้มล้างการปกครองตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ตามที่ นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ออกมาให้ข่าวกับสื่อมวลชนจริง
โดยเป็นการยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้ นายทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย เลิกการกระทำที่เป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพ อันจะนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 โดยผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วยคำร้อง 65 หน้า และเอกสารประกอบ อีกจำนวน 443 แผ่น รวมคำร้องและเอกสารประกอบชุดละ 508 แผ่น จำนวน 10 ชุด รวมเอกสารทั้งสิ้น 5,080 แผ่น
คุณธีรยุทธ ขยายความว่า ข้อมูลหลักฐานที่นำไปยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ เป็นพฤติกรรมของนายทักษิณและพรรคเพื่อไทย รวม 6 กรณี ที่ตนเข้าข่ายล้มล้างการปกครอง 2 ลักษณะด้วยกัน ซึ่งหลังจากยื่นคำร้องแล้วจะแถลงรายละเอียดต่อสื่อมวลชน
เมื่อถามว่า กรณีที่แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคเข้าไปหารือจัดตั้งรัฐบาลที่บ้านจันทร์ส่องหล้า ในวันที่ 14 สิงหาคม โดยมีข่าวว่าอดีตนายกฯทักษิณเป็นคนเรียกเข้าไป และมีการหารือกันจนสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ เป็นพฤติการณ์ที่นำไปร้องต่อศาลด้วยหรือไม่นั้น คุณธีรยุทธ บอกว่า เป็นหนึ่งในหลายๆ พฤติกรรมของอดีตนายกฯ และพรรคเพื่อไทย ซึ่งคิดว่าเข้าข่ายการเซาะกร่อนบ่อนทำลาย ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 49 ด้วยเช่นกัน
เมื่อถามเพิ่มเติมว่า หลักฐานสำคัญเป็นคลิปลับ หรือคลิปเสียงตามที่เป็นข่าวหรือไม่ คุณธีรยุทธ ตอบว่า ไม่ทราบรายละเอียดเรื่องคลิป แต่หลักฐานตามคำร้องของตนเป็นพยานบุคคลที่มีความหนักแน่น และมั่นใจว่าจะสามารถเอาผิดได้
สำหรับรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 บัญญัติว่า “บุคคลจะใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมิได้
ผู้ใดทราบว่ามีการกระทําตามวรรคหนึ่ง ย่อมมีสิทธิร้องต่ออัยการสูงสุดเพื่อร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทําดังกล่าวได้
ในกรณีที่อัยการสูงสุดมีคําสั่งไม่รับดําเนินการตามที่ร้องขอ หรือไม่ดําเนินการภายในสิบห้าวัน นับแต่วันที่ได้รับคําร้องขอ ผู้ร้องขอจะยื่นคําร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญก็ได้
การดําเนินการตามมาตรานี้ไม่กระทบต่อการดําเนินคดีอาญาต่อผู้กระทําการตามวรรคหนึ่ง”
คุณธีรยุทธ กล่าวเพิ่มเติมว่า สาเหตุที่วันนี้ไปยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยตรง เพราะได้ไปยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุดมาแล้ว เมื่อวันที่ 24 กันยายน แต่อัยการสูงสุดไม่ได้ดำเนินการใดๆ ภายใน 15 วัน และเมื่อวานครบกำหนด 15 วันแล้ว จึงนำคำร้องมายื่นตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญในวันนี้
ผู้ร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญโปรดพิจารณาวินิจฉัยว่า ทั้ง 6 กรณีผู้ถูกร้องทั้งสองได้มีการกระทำอันเป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลายพระเกียรติยศของสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นการทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ สูญเสียสถานะที่จะต้องอยู่เหนือการเมืองหรือดำรงความเป็นกลางทางการเมือง ย่อมเป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นเหตุให้ชำรุดทรุดโทรม เสื่อมทราม หรืออ่อนแอลง และ ผู้ถูกร้องทั้งสองมีการกระทำอันมีเจตนาเซาะกร่อนบ่อนทำลายระบบพรรคการเมืองที่เป็นสถาบันทางการเมืองที่สำคัญของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ให้ชำรุดทรุดโทรม เสื่อมทราม หรืออ่อนแอลง การกระทำดังกล่าวทั้งสองประการ เป็นการกระทำที่อาจนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในที่สุด
เพื่อป้องกันความเสียหายร้ายแรงที่อาจจะเกิดแก่สถาบันพระมหากษัตริย์ที่เป็นสถาบันหลักของประเทศและสถาบันพรรคการเมืองที่มีความสำคัญต่อระบอบการปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อันเป็นรัฐประศาสโนบายที่จำเป็นเพื่อดับไฟกองใหญ่ไว้แต่ต้นลมมิให้ไฟกองเล็กกระพรือโหมไหม้ลุกลามขยายใหญ่จนเป็นมหันตภัยที่ไม่อาจต้านทานได้ในวาระต่อไป
จึงขอศาลรัฐธรรมนูญโปรดพิจารณาวินิจฉัยสั่งการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคสอง ดังนี้
ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วยคำร้อง 65 หน้า และเอกสารประกอบ อีกจำนวน 443 แผ่น
รวมคำร้องและเอกสารประกอบชุดละ 508 แผ่น จำนวน 10 ชุด รวมเอกสารทั้งสิ้น 5,080 แผ่น
สำหรับ นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร เป็นหนึ่งใน “นักร้อง” ที่ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชน เนื่องจากเคยยื่นคำร้องเรื่องล้มล้างการปกครอง โดยกล่าวหาพรรคก้าวไกลกรณีรณรงค์หาเสียงให้แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งมีความหมายเป็นการยกเลิกมาตรา 112 จนศาลรัฐธรรรมนูญสั่งให้พรรคก้าวไกลหยุดการกระทำมาแล้ว และต่อมาได้ยื่นคำร้องซ้ำให้ยุบพรรคก้าวไกล และพรรคก้าวไกลถูกยุบในที่สุด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง