"สมชาย"ร่ายยาวถึงการนำข้าว 10 ปี ออกประมูล ชี้เสี่ยงอันตรายเพราะรมยาฆ่าแมลงตลอด 10 ปี น่าจะมีแต่สารพิษตกค้าง ล้างไม่ออก และอย่าส่งออกไปขายแอฟริกา เพราะเป็นจะทำลายภาพพจน์ ต้องเร่งตรวจสอบ
นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา ระบุข้อความผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว ถึงการตั้งข้อสังเกตุเพิ่มเติม เรื่องการจะนำข้าว 10 ปี ที่ค้างในโกดังเตรียมออกมาประมูลขายเป็นข้าวดี กินได้ นั้น
เป็นเรื่องที่เสี่ยงอันตรายและต้องเร่งตรวจสอบหลายกรณี ดังนี้
1) ข้าวเก่าค้างจำนำในโกดังนาน 10 ปี รมยาฆ่าแมลงfumigationตลอดทุก 1-2 เดือน ตลอด 10 ปี ไม่น้อยกว่า 60-120 ครั้ง น่าจะมีแต่สารพิษตกค้าง ล้างไม่ออก และน่าจะไม่มีสารอาหารหลงเหลือ รวมถึงน่าจะมีaflatoxin สารพิษและสารก่อมะเร็งที่เกิดจากรา ที่เกิดจากการเก็บข้าวที่ไม่เหมาะสม
2) นักวิชาการและหน่วยงานที่มีหน้าที่ ต้องเร่งตรวจสอบ DNA ข้าว 10 ปี จริงหรือไม่ และตรวจพิสูจน์ทางวิทยาศาตร์ให้ชัดถึงคุณภาพมาตรฐานและสารตกค้าง
3) ยุติการประมูลขายเป็นอาหารคนและสัตว์ เพราะเสี่ยงสารสะสมในข้าวก่อมะเร็ง และอย่าส่งออกไปขายแอฟริกา เพราะเป็นจะทำลายภาพพจน์และมาตรฐานการค้าข้าวไทยในตลาดโลก ซึ่งจะยิ่งสร้างเสียหายตามมามากมาย
4) ตรวจสอบขบวนการทุจริตจากการประมูลข้าวทั้ง 2 โกดังว่า เมื่อมีการประมูลข้าวไปแล้ว อย่างน้อย 2-3 ครั้ง (2557,2558,2563)
5) สมาคม และสภาวิชาชีพสื่อ ควรตรวจสอบจริยธรรมสื่อมวลชนที่ไปร่วมทำข่าวและแสดงให้ประชาชนและสังคมเชื่อถือให้การรับรองคุณภาพข้าวดังกล่าวว่า มีคุณภาพดี กินได้ ซึ่งน่าจะขัดต่อจรรยาบรรณวิชาชีพสื่อมวลชน
6) หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม ทั้งปปช อัยการ ศาลยุติธรรม ควรจับตาเฝ้าติดตามตรวจสอบเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด ด้วยเหตุที่มีการข่าวว่า ทีมกฎหมายของการเมืองในขบวนการทุจริตจำนำข้าว จะบิดเบือนสร้างพยานหลักฐานใหม่ เพื่อขอรื้อฟื้นคดีหรือไม่ หรือเพื่อดิสเครดิตกระบวนการยุติธรรมไทยที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้มีคำพิพากษาเด็ดขาดไปแล้ว ถึง 2 ชั้นศาลฎีกา
ข้อมูลจากจากโพสต์ของคุณพันทิพา พงษ์เพียจันทร์ จากกรณีที่เอาข้าวเก่า ค้าง 10 ปี มาหุงรัปทานโชว์กัน ขอบอกว่าท่านได้รับสารพิษจากเชื้อราไปแล้วไม่น้อย หลายตัวหลายชนิดด้วย และใครที่ไปร่วมชิมเป็นสักขีพยานว่า ข้าวนั้นทานได้ ก็รับเคราะห์ไปด้วยค่ะ
1.ปกติอาหารสัตว์ เราจะเก็บพวกธัญเมล็ดต่างๆ (รวมถึงข้าว)ได้อย่างมาก 1 ปี ที่อุณหภูมิห้อง เช่นเดียวกับที่โรงสีที่โชว์เก็บ แต่ก่อนเก็บนอกจากรมควันแล้ว ความชื้นในเมล็ดธัญพืชจะต้องไม่เกิน 12% เพราะพวกนี้สามารถดูดซึมน้ำกลับได้ ซึ่งสภาพการเก็บของโรงสีที่เห็น ใส่ในกระสอบป่าน โอกาสดูดซึมน้ำกลับ ทำให้ความชื้นของเมล็ดข้าวสูงขึ้นแน่นอน
หากจะเก็บไว้นานกว่านี้ต้องเก็บในสภาพเย็นแบบแห้ง (Cold dry processing)* อุณหภูมิต้องไม่เกิน 13 °C ทำให้แมลงไม่ฟักออกเป็นตัว*
2.กระสอบป่านที่เก็บข้าว สภาพที่เห็น วางทับซ้อนกันสูงมาก อากาศไม่ถ่ายเท ส่งเสริมการดูดซึมน้ำกลับ ความชื้นในเมล็ดข้าวสูงขึ้น ส่งเสริมการเจริญของมอดแมลงต่างๆ
3.แม้จะรมยาแต่สถาพการวางทับกระสอบ รมยาไม่ทั่วถึงแน่นอน เพราะข้าวที่เอามาหุงแสดง ขณะล้างฟ้องอยู่แล้วว่ามีมอดข้าว ด้วง
4.การที่เมล็ดข้าวมีความชื้น ส่งเสริมการเติบโตของมอด แมลงต่างๆ* หลักฐานประจักษ์ขณะซาวข้าว (15ครั้ง ตามข่าว ซึ่งข้าวปกติเราล้างไม่ถึง 3 ครั้ง)
5.การมีมอดแมลง มูลของแมลงเหล่านี้นำมาซึ่งการเจริญของเชื้อรา และแบคทีเรีย* ทำให้เน่าได้รับสารพิษโดยไม่รู้ตัว
6.จากสภาพข้าวที่หุงออกมา จะมีข้าวจำนวนไม่น้อย ที่มีสีน้ำตาลตรงปลายเมล็ด นั่นคือเม็ดข้าวที่ขึ้นรา อย่างน้อยต้องตรวจพบสารพิษอะฟลา 1 ตัว ตรวจง่ายๆโดยใช้เทคนิค บี จี วาย ฟลูโอเรสเซนท์ (Bright Greenish-Yellow Fluorescent)** ซึ่งสารนี้ทนอุณหภูมิได้ถึง 250°C *** และยังจะมีสารพิษอื่นๆตามมาอีกหลายตัว อุณหภูมิข้าวที่เราหุงน้ำเดือด 100°C ไม่สามารถทำลายพิษจากเชื้อราได้ อาจได้แค่แบคทีเรียจากมูลของแมลง
เห็นเจตนาดีของท่านที่จะหาเงินกลับคืน ขอแนะนำว่า
หมายเหตุ:การตรวจสอบสารพิษเหล่านี้ มีตามมหาวิทยาลัยที่มีห้องแลปตรวจอาหารทั่วไปหรือกรมปศุสัตว์หรือบริษัทรับตรวจสารพิษในอาหาร
ข่าวที่เกี่ยวข้อง