svasdssvasds

จิ้มแล้วดิจิทัลวอลเล็ต เริ่มลงทะเบียนไตรมาส 3

จิ้มแล้วดิจิทัลวอลเล็ต เริ่มลงทะเบียนไตรมาส 3

"นายกรัฐมนตรี" จิ้มแล้วดิจิทัลวอลเล็ต เริ่มลงทะเบียนไตรมาส 3ด้าน "สิริกัญญา" ออกมาแนะ รัฐบาล แก้กฎหมาย ธกส.ก่อนนำเงินมาหมุน

SHORT CUT

  • รัฐบาลเคาะดิจิทัลวอลเล็ตลงทะเบียนไตรมาศ 3 เริ่มใช้ไตรมาศ 4
  • ศิริกัญญาแนะ แกกฎหมายใช้เงินผ่าน ธกศ.ก่อน

"นายกรัฐมนตรี" จิ้มแล้วดิจิทัลวอลเล็ต เริ่มลงทะเบียนไตรมาส 3ด้าน "สิริกัญญา" ออกมาแนะ รัฐบาล แก้กฎหมาย ธกส.ก่อนนำเงินมาหมุน

รัฐบาลเคาะดิจิทัลวอลเล็ต

วันนี้รัฐบาลมีความยินดีที่จะประกาศให้พี่น้องประชาชนทราบว่า นโยบายการเติมเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอเล็ต ซึ่งเป็นนโยบายเรือธงของรัฐบาล เป็นนโยบายที่จะยกระดับเศรษฐกิจทั้งประเทศ และประชาชน ได้เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว

รัฐบาลได้ใช้ความพยายามสูงสุดฟันฝ่าอุปสรรคทั้งหลาย จนถึงวันนี้ ที่รัฐบาลสามารถทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับพี่น้องประชาชน ส่งมอบนโยบายที่จะพลิกชีวิตพี่น้องประชาชน และที่สำคัญ เป็นไปตามตัวบทกฎหมายที่เกี่ยวข้องทุกประการ รวมทั้งอยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด

โดยประชาชนและร้านค้าจะได้ยืนยันตัวตนได้ในไตรมาส 3 และเงินจะส่งตรงถึงพี่น้องประชาชนในไตรมาส 4 ปีนี้ 

นโยบายฯ เป็นการใส่เงินในระบบเศรษฐกิจอย่างทั่วถึงและกระจายไปยังทุกพื้นที่ให้หมุนเวียนอยู่ในระบบเศรษฐกิจให้ถึงฐานราก เกิดการจับจ่ายใช้สอย ยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างโอกาสในการประกอบอาชีพของประชาชนและภาคธุรกิจที่จะขยายการลงทุน ขยายกิจการ เกิดการผลิตสินค้าที่มากขึ้น นำไปสู่การจ้างงาน สร้างอาชีพ และเกิดการหมุนเวียนของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลจะได้รับผลตอบแทนคืนมาในรูปแบบฐานภาษี อันจะเป็นการวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัลให้กับประเทศ

 

เป็นการเตรียมความพร้อมของประเทศให้เข้าสู่เศรษฐกิจสมัยใหม่ และเพิ่มประสิทธิภาพ และสร้างความโปร่งใสให้แก่ระบบชำระเงินของระบบเศรษฐกิจและรัฐบาล โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการส่งเสริมให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในพื้นที่และช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพ ยกระดับและพัฒนาคุณภาพชีวิตให้แก่ประชาชนที่ต้องการได้รับความช่วยเหลือ เช่น กลุ่มเปราะบาง เกษตรกร เป็นต้น เพื่อให้ประชาชนกลุ่มดังกล่าวและชุมชนมีความเข้มแข็งในด้านเศรษฐกิจ สามารถพึ่งพาตนเองได้ 

รวมทั้งสร้างและเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพของประชาชน อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาให้เกิดนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมอีกด้วย  

สำหรับความคุ้มค่าในการดำเนินโครงการฯ จะให้สิทธิแก่ประชาชน จำนวน 50 ล้านคน คิดเป็นจำนวนเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 5 แสนล้านบาท และกำหนดให้ใช้จ่ายในร้านค้าที่กำหนดซึ่งจะเป็นการเติมเงินลงสู่ฐานราก โดยจะส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจประมาณร้อยละ 1.2 - 1.6  จากกรณีฐาน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับรายละเอียดเงื่อนไขของโครงการฯ 

“รัฐบาลจะดำเนินการโครงการให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 โดยกระบวนการต่างๆ ต้องเป็นไปตามกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องและต้องดำเนินการด้วยความโปร่งใสและตรวจสอบได้ การดำเนินโครงการต้องเป็นไปด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต รอบคอบ และระมัดระวังเพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชนโดยรวม ตลอดจนรักษาวินัยการเงินการคลังของรัฐอย่างเคร่งครัด” 

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้รัฐบาลมีความยินดีที่จะประกาศนโยบายให้พี่น้องประชาชนทราบว่าโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัล วอลเล็ต ซึ่งเป็นนโยบายเรือธงของรัฐบาล ที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจระดับประเทศ และระดับประชาชนได้เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว

“รัฐบาลได้ใช้ความพยายามสูงสุด ฟันฝ่าอุปสรรค และข้อจำกัดทั้งหลายจนวันนี้ได้มาถึงวันที่รัฐบาลสามารถทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับพี่น้องประชาชน ส่งมอบนโยบายที่พลิกชีวิตพี่น้องประชาชนได้ และที่สำคัญเป็นไปตามตัวบทกฎหมายที่เกี่ยวข้องทุกประการ รวมทั้งอยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรี ระบุว่า นโยบายนี้เป็นการใส่เงินในระบบเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง และเป็นการกระจายเงินทุกพื้นที่ให้หมุนเงินอยู่ในระบบเศรษฐกิจให้ถึงฐานราก เกิดการจับจ่ายใช้สอย ยกระดับคุณภาพชีวิต และสร้างโอกาสในการประกอบอาชีพของประชาชน และภาคธุรกิจที่จะขยายการลงทุน ขยายกิจการ เกิดการผลิตสินค้าที่มากขึ้น นำไปสู่การจ้างงาน สร้างอาชีพ และเกิดการหมุนเวียนของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลจะได้รับผลการตอบแทนคือภาษีอันเป็นการวางรากฐาน เศรษฐกิจดิจิทัล ให้กับประเทศเพื่อเตรียมความพร้อมให้ประเทศเข้าสู่เศรษฐกิจสมัยใหม่ และเพิ่มประสิทธิภาพ สร้างความโปร่งใสให้กับกลไลการชำระเงินทางเศรษฐกิจและรัฐบาล

นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยการส่งเสริมเพื่อให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในพื้นที่ และช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพตลอดจนยกระดับ และพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับประชาชนที่ต้องได้รับความช่วยเหลือเช่นกลุ่มเปราะบาง กลุ่มเกษตรกร ให้ประชาชน และชุมชนมีความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ  และสามารถพึ่งพาตนเองได้ รวมทั้งสร้างโอกาสการประกอบอาชีพ ทำให้เกิดเทคโนโลยีดิจิทัล เกิดประโยชสังคมโดยรวม

นายกรัฐมนตรี ระบุว่า โครงการนี้จะให้ประชาชน 50 ล้านคนกรอบวงเงิน 5 แสนล้านบาท ใช้จ่ายในร้านค้าที่กำหนด ซึ่งเป็นการเติมเงินสู่ฐานราก ส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยร้อยละ 1.2-1.6 จากกรณีฐานขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของโครงการ รัฐบาลจะดำเนินโครงการเป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักไทย กระบวนการเป็นไปตามกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง โปร่งใส ตรวจสอบได้ต้องซื่อสัตย์ สุจริต รอบคอบ และระมัดระวัง เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชนโดยรวม

”ในแง่ของหลักการ และจุดประสงค์ ว่าเราต้องการทำเพื่ออะไร แหล่งที่มาที่ไปเงิน เงื่อนไขในการรับเงิน และคณะกรรมการที่มาดูแลเรื่องความโปร่งใส ถือเป็นการแถลงข่าวที่ค่อนข้างครบ และเป็นวันที่รัฐบาลมีความดีใจ ที่พี่น้องประชาชนจะได้ทราบข้อมูลของเงินดิจิทัลที่จะไปถึงมือพี่น้องประชาชนภายในปลายปีนี้“ นายกรัฐมนตรี  กล่าว

“จุลพันธ์” ร่ายขั้นตอนการถอนเงินของร้านค้า ย้ำต้องอยู่ในระบบฐานภาษี กำหนดเข้า ครม. ภายใน 1 เดือน

ด้านนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงรายละเอียดโครงการเพิ่มเติม ว่า ในการถอนเงินของร้านค้านั้น โดยรอบแรกประชาชนใช้เงินดิจิทัลผ่านร้านค้า ในระยะเวลา 6 เดือน ส่วนรอบที่สอง ร้านค้าไปใช้จ่ายผ่านร้านค้าด้วยกัน ซึ่งไม่จำกัดว่าจะเป็นร้านที่มีขนาดเล็กหรือใหญ่ ซึ่งร้านค้าทอดที่ 3 จะสามารถไปขึ้นเงินได้ เพื่อป้องกันการทุจริต ย้ำว่าทุกร้านต้องอยู่ในระบบฐานภาษี ไม่ว่าจะเป็นภาษีนิติบุคคล ภาษีบุคคลธรรมดา 

เมื่อถามว่าแอพเป๋าตังค์ไม่ใช้แล้ว แล้วซุปเปอร์แอพหน้าตาเป็นแบบไหน นายจุลพันธ์ กล่าวว่า จะมาถามหน้าตาแบบนี้คงตอบไม่ได้ แต่ก็ยังจะใช้แอพเป๋าตังค์มาเชื่อมโยง 

เมื่อถามว่าจะมีการเติมเงินหลายช่องทางหรือไม่ นายจุลพันธ์ ระบุว่า เราเปิดทางเลือกให้กับประชาชนใช้จ่ายได้ง่ายขึ้น สามารถรับเงินได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการ Cash Out หรือกระบวนการใดๆก็ตาม เราเปิดให้ความเชื่อมโยงกับวอลเล็ตทั้งหมดที่จะเข้ามาเชื่อมโยงกับเราได้ ธนาคารพาณิชย์จะเป็นสีฟ้า สีเขียว สีอะไรก็ตาม ถ้าอยากจะเชื่อมกับระบบนี้ สามารถเอาระบบมาเชื่อมต่อได้ เราจะสามารถลิ้งค์ไปที่บัญชี

ส่วนจะเริ่มในเดือนตุลาคม ไตรมาส 4 เลยหรือไม่ นายจุลพันธ์ หัวเราะและตอบไตรมาส 4 ก็มาถามวันกัน ย้ำว่าเรื่องนี้จบแล้ว ส่วนจะเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อไหร่นั้น กำหนดไว้ภายใน 1 เดือน คาดว่าจะเป็นเดือนเม.ย. 

ผู้สื่อข่าวยังสอบถามถึงการเติบโตของ GDP ที่ตอนนี้ได้มาตรการกระตุ้นอสังหาฯ มาช่วย
นายจุลพันธ์ กล่าวถึง เรายังมีความเชื่อว่ากลไกที่เราทำไป จะทำให้เศรษฐกิจเติบโตตามศักยภาพได้ เราตั้งเป้าไว้ที่ 5% เป็นอย่างต่ำ ปีนี้โอกาสลำบาก เพราะกว่าได้เงินดิจิทัลวอลเล็ตก็ปลายปี ซึ่งอาจจะยังไม่ทำให้การเติบโตของปี 2567 ตามที่คิดไว้ และเน้นย้ำว่าในปีถัดๆ ไปจะสร้างปัจจัยบวกในเรื่องการค้าการลงทุนจากต่างประเทศโดยตรง ที่กำลังเพิ่มมากขึ้น เริ่มเห็นเป็นรูปธรรมแล้ว หากทำให้เศรษฐกิจเติบโตไปในจุดที่เหมาะสม ก็จะทำให้มีความมั่งคั่งเพียงพอที่จะกระจายให้กับพี่น้องประชาชนทุกคน 

นโยบาย 2 เรื่อง ทั้งดิจิทัลวอลเล็ตและอสังหาฯ เป็นเพียงแค่ 2 นโยบายในหลายโครงการที่เราจะทำเพิ่มต่อไป ซึ่งในระหว่างปีที่มาถึงเชื่อว่าจะมีนโยบายที่เป็นประโยชน์ในการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกหลายตัว แต่ยังไม่สามารถพูดได้

เมื่อถามว่าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตทำเป็นงบประมาณปกติ ไม่กู้แล้ว ข้อกังวลของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จะลดลงหรือไม่ นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ลดลงไปหลายประเด็น โดยเฉพาะข้อถกเถียงว่าวิกฤตหรือไม่

“เรายืนยันว่าเศรษฐกิจไม่ได้ดีถ้าไปถามพี่น้องประชาชน ถ้าเกิดว่าเอาเท้าแตะดินจะรู้เลยว่าพี่น้องประชาชนลำบาก ในขณะนี้ซึ่งความเห็นนี้ ผมว่าก็ตรงกันในสภาก็เห็นตรงกัน การอธิบายคำว่าวิกฤตเศรษฐกิจอาจจะต่างกัน แต่เราบอกว่ามันมีปัญหาและการกระตุ้นเศรษฐกิจมีความจำเป็น เราถึงได้เดินหน้าในการเติมเงิน 1 หมื่นบาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต” นายจุลพันธ์ กล่าว

ในประเด็นอื่นที่มีข้อห่วงใยไม่ว่าจะเป็นเรื่องทุจริตคอรัปชั่นการใช้ผิดประเภทเราก็ดำเนินการไม่ว่าจะเป็นการตั้งอนุกรรมการมาตรวจสอบ รวมไปถึงอนุกรรมการกำกับดูแล จึงจำเป็นต้องสร้างเงื่อนไขการใช้จ่ายสองรอบขึ้นไป ร้านค้าถึงจะถอนเงินได้ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลไกของการลดการทุจริตคอรัปชั่น สร้างตัวแปรทางเศรษฐกิจ ให้คุ้มค่ากับเม็ดเงินที่ลงทุนไป 

ส่วนจะเป็นนโยบายสัญญาว่าจะให้หรือไม่ คณะกรรมการการเลือกตั้งไม่เคยพูด และตอบชัดเจนแล้วว่าไม่ได้เป็นประเด็น 

เมื่อถามว่าทำไมไม่คิดใช้เงินงบประมาณตั้งแต่แรก นายจุลพันธ์ ย้ำว่ารัฐบาลคิด แต่มีหลายปัจจัย เช่นแนวคิดที่ว่า ในเรื่องของการกู้เงินเป็นการสร้างเงินใหม่ ซึ่งแบบนี้ก็ถือว่าเป็นการสร้างเงินใหม่อีกรูปแบบหนึ่งเช่นกัน เพราะว่ามีการขาดดุลมากกว่ากรอบ งบประมาณ หากรัฐบาลไปใช้งบประมาณและไม่มีการขาดดุลเพิ่มเติมก็ถือว่าเป็นเงินเก่า ซึ่งก็อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไม่มากนัก แต่แนวทางเช่นนี้ถือว่าเป็นเงินที่เติมเข้าไปใหม่ 

เมื่อถามว่าให้คำมั่นได้หรือไม่ว่าจะรีบใช้เงินคืน ธ.ก.ส. ก้อนนี้ เพราะตอนนี้ก็เท่ากับรัฐบาลเป็นหนี้ธ.ก.ส. นายจุลพันธ์ ยืนยันว่ารัฐบาลสามารถบริหารจัดการในการใช้หนี้ได้ แต่ไม่สามารถจะตอบเวลาได้ว่าจะใช้หนี้หมดเมื่อไหร่ ก็ต้องเป็นไปตามกรอบของกฎหมาย 

เมื่อถามว่าพรรคร่วมเห็นด้วยใช่หรือไม่ นายจุลพันธ์ หัวเราะ และกล่าวว่า เมื่อสักครู่ก็นั่งกันอยู่หลายพรรค

“ศิริกัญญา” แนะรัฐบาลส่งกฤษฎีกา-แก้กฎหมาย ธกส.ก่อนนำเงินมาแจก ดิจิทัล วอลเล็ต 

นส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ   พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่รัฐบาลมีอำนาจในการใช้เงินของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธกส.   และเป็นไปตามวินัยการคลังหรือไม่ว่า เรื่อง ธกส.ยังมีประเด็นในเรื่องของข้อกฎหมาย    เพราะว่าตามวัตถุประสงค์ของธกส.  ที่ระบุไว้ตามกฎหมายสามารถทำได้ในการช่วยให้เกษตรกรเพิ่มผลผลิต    ลดต้นทุนค่าใช้จ่าย แต่ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ข้อใดที่จะไปทำให้มีการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกร    โดยการแจกเงินดิจิทัล  วอลเล็ต    ซึ่งตอนนี้ก็ยังเป็นประเด็นกันอยู่ว่าจะต้องส่งคณะกรรมกฤษฎีกาตีความ    เหมือนกับกรณีของธนาคารออมสินหรือไม่    แต่ว่ามันมีความเทาๆที่จะสามารถตีความให้เข้าข้างรัฐบาลก็สามารถทำได้  แต่การที่ละเลยที่จะมีการให้กฤษฎีกาช่วยตีความก่อนก็เป็นสิ่งที่น่ากังวล     ที่สำคัญจะทำอย่างไรให้มีเงินมาใช้จ่ายให้เต็มที่ เพราะ  ธกส.ยังติดเกณฑ์ของกรอบวินัยการเงินการคลัง รัฐบาลก็พูดย้ำหลายรอบ    ว่าไม่มีการขยายแน่นอน ก็ต้องมารอดูว่าโครงการไหนจะไปก่อน เพราะพักหนี้เกษตรกรจะทำต่อจนครบ 3 ปีหรือไม่    หรือว่าโครงการไร่ละ 1 พันจะยังคงเดินหน้าไปต่อได้หรือไม่    อันนี้ก็เป็นข้อกังวลสำหรับการใช้เงินของ ธกส.

เมื่อถามว่าฝ่ายค้านจะดำเนินการอย่างไรนอกจากรอให้รัฐบาลถามกฤษฎีกา น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า ไม่แน่ใจว่ารัฐบาลจะถามกฤษฎีกาอยู่หรือไม่   

related