สนพ. หนุนใช้เกณฑ์ “LOLE” วัดความมั่นคงระบบไฟฟ้าของประเทศ รองรับความต้องการพลังงานสะอาดในภาคอุตสาหกรรม และความต้องการใช้รถอีวี เตรียมใช้ในแผนพัฒนาไฟฟ้าฉบับใหม่ ด้าน “วัฒนพงษ์” แจงข้อดีสะท้อนความมั่นคงไฟฟ้าได้จริงในทุกช่วงเวลา
นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยว่าจากทิศทางการพัฒนาพลังงานของประเทศไทยที่มุ่งไปสู่การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด รวมทั้งการส่งเสริมให้มีการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ในประเทศมากขึ้น รวมทั้งความต้องการใช้ไฟฟ้าที่ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ โดยในปี 2566 โดยคาดว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 3% ใกล้เคียงกับการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) เนื่องจากมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวขึ้นหลังจากสถานการณ์โควิด-19
กระทรวงพลังงานได้มีการเตรียมความพร้อมในหลายด้านเพื่อให้การผลิตไฟฟ้าในประเทศสามารถตอบสนองต่อความต้องการของภาคธุรกิจ อุตสาหกรรม และภาคประชาชนได้อย่างทั่วถึง และให้ความสำคัญกับความมั่นคงของการผลิตไฟฟ้าในประเทศ โดยในการจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (พีดีพี) ฉบับใหม่ (พีดีพี 2030) ที่จะใช้ในปี 2566 – 2580
กระทรวงพลังงานได้มีแนวคิดในการนำเอาดัชนีโอกาสเกิดไฟฟ้าดับ (Loss of Load Expectation) หรือ “LOLE” มาใช้เป็นเกณฑ์ในการวัดความมั่นคงด้านไฟฟ้าของประเทศ แทนเกณฑ์เดิมที่เคยใช้ “กำลังผลิตไฟฟ้าสำรอง” หรือ Reserve Margin ที่เคยใช้มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2539 เนื่องจากรูปแบบการผลิตและใช้ไฟฟ้าในประเทศไทยไม่เหมาะสมที่จะนำเอาค่ากำลังผลิตไฟฟ้าสำรองมาใช้ในการวัดความมั่นคงด้านการผลิตไฟฟ้าของประเทศอีกต่อไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ปัจจุบันการใช้ ดัชนีโอกาสเกิดไฟฟ้าดับ หรือ LOLE มีการใช้อย่างแพร่หลายในต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศที่มีรูปแบบการใช้และการผลิตไฟฟ้าคล้ายกับประเทศไทยในอนาคต เช่น เกาหลีใต้ และสหรัฐฯ ที่มีโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน และการใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น
ข้อดีของ “LOLE”
สามารถวัดความมั่นคงด้านไฟฟ้าของประเทศได้ทุกช่วงเวลาตลอดทั้งปี มีค่าที่กำหนดชัดเจนที่ทำให้ทุกฝ่ายสามารถเห็นถึงความมั่นคงของระบบการผลิตไฟฟ้าของประเทศซึ่งทุกฝ่ายยอมรับร่วมกันผ่านการพิจารณาทั้งทางเทคนิคและวิชาการ ซึ่งค่า LOLE ที่กำหนดไว้เป็นมาตรฐานจะสร้างความมั่นใจว่าจะไม่เกิดไฟฟ้าดับในวงกว้างไม่ว่ารูปแบบการผลิตไฟฟ้าของประเทศ และพฤติกรรมของผู้ใช้ไฟฟ้าจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
การผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยจะเริ่มมีความหลากหลายของประเภทโรงไฟฟ้ามากขึ้นทั้งโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ โรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ทั้งลม แสงอาทิตย์ ซึ่งมีความผันผวนของการผลิตพลังงานในแต่ละช่วงเวลา
"ขณะเดียวกันพฤติกรรมของผู้ใช้ก็มีการเปลี่ยนแปลงไปจากในอดีต เช่น ความต้องการของภาคอุตสาหกรรมบางสาขาที่ต้องการใช้พลังงานสะอาด 100% ในการผลิตไฟฟ้า เช่น ธุรกิจดาต้าเซนเตอร์ รวมทั้งการใช้รถอีวีของประชาชนที่เพิ่มมากขึ้นทำให้จะต้องมีการชาร์จไฟฟ้ารถยนต์ในช่วงกลางคืน ซึ่งทำให้ช่วงเวลาที่มีการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (พีค) นั้นเปลี่ยนไปอยู่ในช่วงกลางคืนก็จะไม่กระทบต่อระบบไฟฟ้าในภาพรวม เนื่องจากมีการกำหนดค่า LOLE ที่สามารถวัดความมั่นคงไฟฟ้าได้อย่างเป็นมาตรฐานตลอดเวลา ต่างจากการใช้การวัดกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองที่มีความไม่แน่นอนในแต่ละช่วงเวลาสูง" นายวัฒนพงษ์ กล่าว
ทั้งนี้กระทรวงพลังงานได้มีการเสนอแนวทางการใช้ ดัชนีโอกาสเกิดไฟฟ้าดับ (Loss of Load Expectation) หรือ “LOLE” เป็นค่ามาตรฐานในการวัดความมั่นคงในการผลิตไฟฟ้าของประเทศ โดยจะใช้ในการจัดทำแผนพีดีพีฉบับใหม่ โดยหลักเกณฑ์นี้ได้ผ่านความเห็นชอบในหลักการจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) แล้ว
โดยดัชนีโอกาสเกิดไฟฟ้าดับที่ กพช.เห็นชอบนั้นอยู่ที่ไม่เกิน 0.7 วันต่อปี หรือเท่ากับ 16.8 ชั่วโมงต่อปี หรือว่าอัตราการเกิดไฟฟ้าดับทั้งประเทศรวมกันภายในหนึ่งปีแล้วต้องไม่เกินจำนวนชั่วโมงที่กำหนดไว้
ซึ่งตัวเลขในระดับที่กำหนดไว้ถือว่ามีความมั่นคงของระบบไฟฟ้าของประเทศเพียงพอ และสามารถช่วยสร้างความมั่นใจต่อระบบเศรษฐกิจ ภาคธุรกิจอุตสาหกรรม และประชาชนที่สามารถใช้ไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่อง ไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจและดำเนินชีวิตประจำวัน