“โออิชิ” ชูจุดขายคุณภาพวัตถุดิบสู้ศึกตลาดอาหารญี่ปุ่น-ชาเขียว

ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มสไตล์ญี่ปุ่น ที่ครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุดอย่าง “โออิชิ” เน้นใช้กลยุทธ์ด้านคุณภาพวัตถุดิบในการผลิตอาหารญี่ปุ่น และ ชาเขียว รวมไปถึงชาพร้อมดื่ม ควบคู่ไปกับการพัฒนานวัตกรรมการผลิตสินค้า เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่มาพร้อมเทรนด์สุขภาพ

นางนงนุช บูรณะเศรษฐกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บอกว่า “โออิชิ” ให้ความสำคัญกับการคัดสรรทุกองค์ประกอบของวัตถุดิบ ตั้งแต่แหล่งผลิตที่ได้มาตรฐานสู่โรงงานที่ทันสมัย เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์อาหาร-เครื่องดื่มที่เต็มไปด้วยคุณประโยชน์ และความปลอดภัย สร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภค

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

• “โออิชิ กรีนที” เปิดตัว “กลัฟ คณาวุฒิ” ในแคมเปญ “OISHI GOODNESS OF TEA”
• โออิชิ แกรนด์ บุฟเฟต์อาหารญี่ปุ่น พรีเมี่ยม กับการกลับมาในโฉมใหม่ 1 ธ.ค.นี้
• “โออิชิ กรุ๊ป” โชว์ผลงานไตรมาส 3/2565 รายได้และกำไรเติบโตแข็งแกร่ง

ชูคุณภาพใบชา “โออิชิ กรีนที” พร้อมดันชาเขียวน้ำตาล 0%  

ปี 2565 ที่ผ่านมา ธุรกิจเครื่องดื่ม โออิชิ กรีนที ยังคงเป็นเบอร์หนึ่งของ ตลาดชาพร้อมดื่ม หลังกวาดส่วนแบ่งตลาด 48% หนึ่งในกลยุทธ์หลักที่ขับเคลื่อนโออิชิ กรีนที คือ เดินหน้าพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์และขยายฐานผู้ดื่มอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มคนที่รักสุขภาพ

ล่าสุดได้สร้างเซกเมนต์ใหม่ ชาเขียวน้ำตาล 0% ตอบรับเทรนด์สุขภาพที่ผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จเพราะสามารถเจาะกลุ่มคนดื่มน้ำเปล่าและน้ำอัดลมได้ทำให้รายได้เพิ่มขึ้น

ในปี 2566 ธุรกิจเครื่องดื่มเดินหน้าขับเคลื่อน 4 กลยุทธ์หลัก

1. สื่อสารประโยชน์ของชาเขียว สร้างการรับรู้คุณประโยชน์ของคาเทชินที่มีในชาเขียวโออิชิทุกขวด เนื่องด้วยใบชานั้นมีประโยชน์ต่อสุขภาพสูง
2. ขยายฐานกลุ่มวัยรุ่น เพิ่มมูลค่าให้กับบรรจุภัณฑ์เพื่อสร้างความผูกพันกับกลุ่มวัยรุ่น
3. ขยายเซกเมนต์น้ำตาล 0% สร้างการเติบโตให้กับสินค้ากลุ่มน้ำตาล 0% เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรักสุขภาพ เช่น โออิชิ ฮันนี่ เลมอน น้ำตาล 0% ขณะเดียวกันยังถ่ายทอดให้เห็นถึงวัตถุดิบที่นำเข้าจากไร่ชามัตสึดะตั้งอยู่ที่เมืองโอมาเอซากิ แหล่งผลิตคุณภาพได้มาตรฐานระดับโลก
4. ขยายตลาดส่งออก โดยเพิ่มความแข็งแกร่งในตลาดหลัก คือ กัมพูชา ลาว และพม่า ตลอดจนสร้างโอกาสการเติบโตในตลาดใหม่ในกลุ่มประเทศอาเซียน

ธุรกิจอาหาร กำไรโตพุ่ง 121%   

ผลจากการผ่อนคลายมาตรการโควิด-19 ประกอบกับแคมเปญการตลาดที่ตอบโจทย์และได้รับผลตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค ส่งผลให้ธุรกิจอาหารในเครือโออิชิ มียอดขายเติบโต 51.5% และมีกำไรสุทธิเติบโต 121% (เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2564)

นอกจากการ ขยายสาขาและช่องทางการตลาด ในรูปแบบ Multi Format และธุรกิจแฟรนไชส์ โออิชิจะเน้นยกระดับมาตรฐานสินค้า/บริการ และคุณภาพ ด้วยการคัดสรรและเลือกใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ สะอาด สดใหม่ และได้มาตรฐานจากแหล่งผลิตชั้นนำทั่วโลก โดยเฉพาะจากประเทศญี่ปุ่น หนึ่งในแหล่งนำเข้าที่สำคัญ คือ “ตลาดโทโยสุ”

“ปัจจุบันนำเข้าวัตถุดิบอาหารจากประเทศญี่ปุ่นในปริมาณที่เพิ่มขึ้น ครอบคลุมทั้งอาหารทะเล เนื้อสัตว์ และ เบเกอรี่ กลุ่มอาหารทะเลมีปริมาณการนำเข้ามากที่สุด โดยเฉพาะปลาทูน่าญี่ปุ่น จากตลาดโทโยสุ เฉลี่ยนำเข้าสัปดาห์ละ 2 - 3 ครั้ง”

ผลประกอบการปี 65 กำไรพุ่ง 120%

 ผลการดำเนินงานประจำปีงบประมาณ 2565 (1 ตุลาคม 2564 – 30 กันยายน 2565) บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) มีรายได้จากการขายทั้งสิ้นจำนวน 12,696 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,878 ล้านบาท หรือคิดเป็นการเติบโตสูงถึงร้อยละ 29.3 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยแบ่งเป็น

• รายได้จากธุรกิจเครื่องดื่มจำนวน 7,292 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 1,042 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 16.7 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
• รายได้จากธุรกิจอาหารจำนวน 5,404 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 1,836 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 51.5 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
• กำไรสุทธิรวมของบริษัทฯ คิดเป็นจำนวน 1,199 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 654 ล้านบาท หรือคิดเป็นการเติบโตที่ระดับร้อยละ 120 จากปีที่ผ่านมา

ทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากการเติบโตของธุรกิจเครื่องดื่มที่เพิ่มขึ้นมาก เป็นหลัก และจากการฟื้นตัวของธุรกิจอาหารที่ทำให้มีผู้บริโภคกลับมาใช้บริการที่ร้านมากขึ้น ประกอบกับมีการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง

สำหรับแผนกลยุทธ์ในอนาคต โออิชิ กรุ๊ป มุ่งขับเคลื่อนธุรกิจตามเป้าหมาย PASSION 2025 ส่งเสริมให้มีการนำนวัตกรรมมาพัฒนาอาหารและเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพมากยิ่งขึ้นด้วยการออกสินค้าใหม่ๆ ที่สอดรับกับแนวคิดเรื่อง Health & Wellness ประกอบกับขยายฐานลูกค้าใหม่และรักษาฐานลูกค้าเดิมไว้ด้วยการจัดกิจกรรมการตลาดที่โดนใจผู้บริโภคต่อเนื่อง รวมทั้งขยายสาขา และ ยึดมั่น “คุณภาพ” พร้อมมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจไปพร้อมกับความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม และสังคม ภายใต้หลักธรรมาภิบาล