ชวนย้อนดู ประวัติ ชีวิตการทำงาน ชีวิตรับราชการของ บิ๊กโจ๊ก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ตัวเต็งผบ.ตร. ที่โดนมรสุมตลอดเวลา
เวลานี้เหตุการณ์บ้านเมืองในสังคมไทย คงไม่มีอะไรร้อนแรงทะลุองศาเดือด เท่ากับเรื่องราวของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือ “บิ๊กโจ๊ก” ที่เพิ่งโดน สอท. หรือ ตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พร้อมหน่วยคอมมานโดเข้าค้นบ้าน
ในช่วงเช้าวันที่ 25 กันยายน 2566 สอท. นำหมายค้น พร้อมๆกับ หน่วยคอมมานโด เข้าไปเมื่อช่วงเช้าตรู่ก่อน 8.00 น. และพบ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ในชุดลำลอง เสื้อยืดขาวและกางเกงขาสั้น ที่ตอบกลับไปว่า “กลับไปเลยไป ผมไม่ให้ค้น”
ในเวลาต่อมา พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการ สอท. เดินทางมาเข้าเจรจากับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงอนุญาตให้เข้าตรวจค้นตามหมาย
หากมองกันตามความเป็นจริง , เรื่องนี้ ถือเป็นอีกหนึ่ง "มรสุมพายุ" ชีวิตของ บิ๊กโจ๊ก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ในการลุ้นขึ้น ผบ.ตร.
แต่อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ เรื่องแรก ไม่ใช่เหตุการณ์แรก ที่เกิดขึ้นกับ ชีวิตราชการของ ชายที่ชื่อ สุรเชษฐ์ หักพาล หรือ โจ๊ก หวานเจี๊ยบ ซึ่งเป็นชื่อที่ผู้สื่อข่าวสายตำรวจตั้งให้ เนื่องจากเขาทำได้สารพัดงาน พูดจาสุภาพอ่อนหวาน ยกมือไหว้ได้ทุกคน ท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตน และความใส่ใจในทุกรายละเอียด
SPRiiNG ชวนมาย้อนดูเหตุการณ์ ในชีวิตราชการของ บิ๊กโจ๊ก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ เปรียบเสมือน แมว 9 ชีวิต ตายยากเสมอ!
บิ๊กโจ๊ก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล เกิดเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2513 ที่ จังหวัดสงขลา เป็นบุตรของดาบตำรวจ ไสว หักพาล และนางสุมิตรา หักพาล สมรสกับ ดร.ศิรินัดดา (สกุลเดิม พานิชพงษ์)
ประวัติการศึกษาบิ๊กโจ๊ก
นักเรียนเตรียมทหารรุ่น 31 ได้รับการจารึกชื่อในป้ายทอง เป็นนักเรียนเตรียมทหารที่มีความประพฤติและการกีฬายอดเยี่ยมประจำปีการศึกษา พ.ศ. 2532 เคยติดทีมชาติเทนนิสรุ่นเยาวชน และนำทีมสถาบันชนะเลิศกีฬา 4 เหล่าทัพ
ปริญญาตรี สำเร็จการศึกษา คณะรัฐประศาสนศาสตรบัณฑิต โรงเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 47
ปริญญาโท สำเร็จการศึกษา คณะสังคมศาสตรมหาบัณฑิต สาขาอาชญาวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม (สศ.ม.) มหาวิทยาลัยมหิดล
ปริญญาเอก สำเร็จการศึกษาปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย และปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาอาชญาวิทยา มหาวิทยาลัยมหิดล
• ประวัติ รับราชการ บิ๊กโจ๊ก สุรเชษฐ์ หักพาล
บิ๊กโจ๊ก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล เริ่มรับราชการตำรวจ ในปี 2537 ตำแหน่งรองสารวัตร จนได้รับการแต่งตั้งเลื่อนขั้นเป็นลำดับ ดังนี้
หลังจากได้รับการเลื่อนขั้นเป็น พ.ต.อ. ได้รับตำแหน่งผู้กำกับการประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ทำหน้าที่อำนวยการประจำผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ไทม์ไลน์การเกิดมรสุมชีวิตบิ๊กโจ๊ก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล
อย่างไรก็ตาม ชีวิตราชการของ บิ๊กโจ๊ก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ไม่ได้ราบรื่น เพราะเขาเจอมรสุมชีวิตมากมาย
ปี 2552
บิ๊กโจ๊ก เกือบต้อง จบชีวิตราชการ ในช่วงปี 2552 โดย ณ เวลานั้น บิ๊กโจ๊ก ทำงานใกล้ชิดกับ พล.ต.อ. วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี โดยตำแหน่งนี้เทียบเท่ารองผู้กำกับการ
และ เมื่อ พล.ต.อ. วิเชียรถูกโยกพ้นนายตำรวจราชสำนักประจำมาประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) อย่างเงียบ ๆ หลังรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 สุรเชษฐ์ "บิ๊กโจ๊ก" ก็ติดตามมา เมื่อ พล.ต.อ. วิเชียรเคลียร์ปัญหาในอดีตจบสิ้น ได้โอกาสเข้าตำแหน่งเป็นรอง ผบ.ตร. เขาก็ทำหน้าที่ผู้ช่วยนายเวร โดยนายเวร พล.ต.อ. วิเชียรในขณะนั้นเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นพี่ 1 ปี คือ พล.ต.ต. อาชยน ไกรทอง ผู้ที่ต่อมากลายเป็นลูกน้องคู่ใจของสุรเชษฐ์ เพราะเขาผงาดเป็นนายพล และหนีบ พล.ต.ต. อาชยนตามไปเกือบทุกที่ โดยเฉพาะที่ตำรวจท่องเที่ยวและตรวจคนเข้าเมือง
ช่วงอยู่กับ พล.ต.อ. วิเชียร ผู้ต่อมากลายเป็น ผบ.ตร. ในรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ "บิ๊กโจ๊ก" สุรเชษฐ์ เริ่มออกจากผู้กำกับประจำสำนักงาน ไปนั่งผู้กำกับการหลายที่ ตำแหน่งที่สำคัญที่เขาอาจจะต้องจำไปชั่วชีวิตก็คือ ผู้กำกับการ 3 กองบังคับการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ในปี 2552 เพราะเขาเกือบเอาชีวิตราชการไปทิ้งไว้ที่นั่น เพราะถูกนายเขตสยาม เนาวรังสี นักธุรกิจร้านอาหารใน อ.ธาตุพนม จ.นครพนม ร้องเรียนว่าเรียกรับผลประโยชน์ จนถูก พล.ต.อ. วิเชียรสั่งตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง จนเกือบถูกออกจากราชการ แต่ "บิ๊กโจ๊ก" ชนะทุกข้อกล่าวหา
ปี 2560
ในปี 2560 ชื่อของ "บิ๊กโจ๊ก" ซึ่งอาวุโสอยู่ในลำดับที่ 76 ได้รับการเสนอชื่อจาก พล.ต.อ.จักรทิพย์ ขึ้นรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และโยกมานั่งเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว และในที่สุดขยับขึ้นมานั่งเก้าอี้ผู้บัญชาการตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งเป็นผู้บัญชาการอายุน้อย ติดยศ “พล.ต.ท.” ด้วยวัยเพียง 48 ปี เปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของวงการสีกากีเมืองไทย
ปี 2562
วันที่ 5 เม.ย. 2562 ช่วงเวลาแห่งการโดนดอง : มีคำสั่งฟ้าผ่า จาก พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ “บิ๊กโจ๊ก” ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ทางตำแหน่งเดิม เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติมอบหมาย เป็นที่รู้กันดีในแวดวงสีกากี คำสั่งนี้ คือการดอง
วันที่ 9 เม.ย. 2562 มีคำสั่งฟ้าผ่าที่สอง จาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ให้ "บิ๊กโจ๊ก" ขาดจากตำแหน่งหน้าที่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อโอนไปเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ ประเภทนักบริหารระดับสูง ในตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สังกัดสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และถูกเพิ่มรายชื่อในบัญชีเพื่อได้รับการตรวจสอบจาก ป.ป.ช. และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน เนื่องด้วยมีมูล ถูกกล่าวหา เกี่ยวข้องกับการทุจริตหรือประพฤติมิชอบ
ปี 2563
วันที่ 6 ม.ค. 2563 รถยนต์ส่วนตัวของบิ๊กโจ๊ก ถูกยิง สื่อหลายแห่งตั้งข้อสังเกตว่า เหตุการณ์ยิงรถบิ๊กโจ๊กครั้งนี้อาจมีความเกี่ยวข้องกับการที่บิ๊กโจ๊ก ออกมาเปิดโปงการทุจริต โครงการจัดซื้อจัดจ้างรถตรวจการณ์ไฟฟ้า ของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ครั้งนั้น มีคลิปเสียงหลุด ที่อ้างว่าเป็น พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา สั่งยิง จนถูกสำรองราชการ
“บิ๊กโจ๊ก” ได้ลากิจไปบวชที่อินเดียเป็นเวลา 9 วัน และกลับมาใช้ชีวิตเงียบ ๆ ในชีวิตข้าราชการพลเรือนไปถึง 2 ปีเต็ม ท่ามกลางกระแสข่าว เขาพยายามทุกวิถีทางจะโอนกลับไปรับราชการตำรวจอีกครั้งให้ได้ เพราะอายุราชการยังยาวไกลไปถึงปี 2574
ปี 2564
บิ๊กโจ๊ก สุรเชษฐ์ กลับมาฟื้นคืนชีพอีกครั้งในตำแหน่งหลักผู้ช่วย ผบ.ตร. แต่บทบาทไม่พุ่งแรงแบบสมัยรุ่งๆ เช่นเดิม แต่ถึงกระนั้น ยังมีขวากหนามคอยขวางกั้น หลัง พ.ต.อ.กฤษณะพงศ์ กัญจน์ชัยกิจ รองผู้บังคับการกองร้องทุกข์ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ ได้ยื่นหนังสือถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ขอให้ทำการทบทวนสำนวนการสืบข้อเท็จจริง คดีเรียกรับเงินจากนายเขตสยาม เมื่อกว่า 12 ปีก่อน ก่อนที่ท้ายสุด นายเขตสยามได้กลับคำให้การ และต่อมา 26 พ.ค. 2565 นายเขตสยามได้เสียชีวิตลง
ปี 2566
ชีวิตของบิ๊กโจ๊ก จึงเริ่มขยับขยาย ทำผลงานอีกครั้ง โดยเฉพาะคดี “กำนันนก” สั่งยิง “ตำรวจทางหลวง” ที่เขาออกตัวทำคดีอย่างเต็มตัว แต่สุดท้ายฟ้าผ่าอีกครั้ง เมื่อ ผบ.ตร. มีคำสั่งให้โอนคดีกำนันนก ไปให้กองปราบรับช่วงต่อแทน
และจากนั้น วันที่ 25 ก.ย. 2566 มีเหตุการณ์ บุกค้นบ้านของ “บิ๊กโจ๊ก” ในวันที่เป็น รอง ผบ.ตร. และหนึ่งในแคนดิเดต ผบ.ตร. คนล่าสุด จะเป็นขวากหนามสำคัญ และเป็นเหตุการณ์มรสุมชีวิตสาดซัด ยับยั้งต่อการเป็น ผบ.ตร. หรือไม่ ยังต้องจับตาต่อไป ว่าเขาจะได้เข้าป้ายเป็น ผบ.ตร. คนที่ 14 ของประเทศไทยหรือไม่ จากเรื่อง "สลัดแข้งสกัดขา" เรื่องนี้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง