SHORT CUT
“จุลพันธ์” มั่นใจ พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร ผ่านสภาวาระ 1 เตรียมตั้ง กมธ. 31 คน เฟ้นคนทำงาน ตั้งเป้าออกกฎหมายเสร็จรัฐบาลนี้ ตั้งไข่ให้รัฐบาลใหม่เดินหน้าลงทุนทันที
มีความชัดเจนแล้วว่า ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือ เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ จะเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในวันพุธที่ 9 เม.ย.นี้ โดยหากผ่านวาระที่ 1 จะตั้งกรรมาธิการขึ้นเมื่อเพื่อแปรญัตติกฎหมายก่อนที่เข้าสู่วาระที่ 2-3 ในเดือน ก.ค.นี้ โดยรัฐบาลมีเป้าหมายผลักดันกฎหมายออกม่ให้ได้ภายในรัฐบาลนี้เพื่อให้เกิดการลงทุนได้จริงภายใน 2-3 ปีข้างหน้า
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์สื่อเครือเนชั่น ระบุว่า การประชุมสภาผู้แทนราษฎรวันที่ 9 เม.ย.2568 จะพิจารณาในวาระที่ 1 เพื่อรับหลักการร่างกฎหมายก่อนจะปิดสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติ โดยจะเสนอตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ขึ้นจำนวน 31 คน
ผมจะเป็นประธานคณะกรรมาธิการฯ เอง โดยกรรมาธิการทั้ง 31 คน จะมาจากหลายภาคส่วน มีสัดส่วนมาจาก ครม. 9 คน มีสัดส่วนจากพรรคการเมือง นักวิชาการ ส่วนราชการและอาจมีคนนอกเข้ามาร่วม ด้านโควตากรรมาธิการสัดส่วนพรรคเพื่อไทย ผมจะคนคัดรายชื่อเองเน้นคนเข้ามาทำงานจริง และได้หารือพรรคร่วมรัฐบาลว่ากรรมาธิการทุกคนต้องมีภาพลักษณ์ดีไม่เข้ามาหาประโยชน์
ทั้งนี้จำนวนคณะกรรมาธิการฯ 31 คน ถือว่าเหมาะสม เพราะปี 2548 เคยตั้งคณะกรรมาธิการจำนวนมาก และหลายชุดก่อนหน้านี้ แต่ผ่านกฎหมายออกมาไม่ได้ แต่ครั้งนี้จะคัดเฉพาะผู้ที่ทำงานได้จริงและตั้งตามจำนวนที่จำเป็น
ขั้นตอนการผลักดันร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร ไม่ใช่เรื่องที่รัฐบาลเร่งรีบแต่หากรับหลักการกฎหมายในเดือน เม.ย.2568 ก่อนปิดสมัยประชุม จะมีเวลาให้คณะกรรรมาธิการฯ ก่อนเสนอพิจารณาวาระที่ 2-3 เดือน ก.ค.2568
รัฐบาลตั้งเป้าหมายที่จะผลักดันกฎหมายฉบับนี้ และตั้งสำนักงานคณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจรได้ทันรัฐบาลชุดปัจจุบัน โดยหลังจากนี้ต้องมีขั้นตอนการออกกฎหมายลูกที่ใช้เวลาอีกมาก
นอกจากนี้ การทำให้กฎหมายทั้งหมดแล้วเสร็จในรัฐบาลนี้ คือ การเตรียมความพร้อมของนโยบายนี้ และอาจเปิดประมูลคัดเลือกผู้ได้รับใบอนุญาตได้บางราย เพื่อให้เกิดการลงทุนได้ทันทีในรัฐบาลหน้าไม่ว่าพรรคการเมืองใดจะเข้ามาเป็นรัฐบาล
การลงทุนสถานบันเทิงครบวงจรจะเป็นเครื่องยนต์ใหม่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ขณะนี้ต้องโฟกัสส่วนที่ไม่ใช่กาสิโนที่มีเพียง 10% ของพื้นที่ทั้งหมด โดยร่างกฎหมายออกแบบให้มีการลงทุนกิจกรรม 4 ประเภท รวมกับกาสิโนเป็น 5 ประเภท
ทั้งนี้ กิจกรรมที่ลงทุนในสถานบันเทิงครบวงจรจะต้องพิจารณาโครงสร้างพื้นฐานหรือแหล่งท่องเที่ยวที่ไทยขาด เช่น สนามกีฬามาตรฐานขนาดใหญ่ คอนเสิร์ตฮอลล์ สวนน้ำและสวนสนุกระดับโลก ห้างสรรพสินค้าที่มีชอร์ปแบรนด์เนม
กิจกรรมทางเศรษฐกิจระดับดังกล่าวภาครัฐคาดหวังเก็บภาษีได้มากขึ้น ซึ่งจะมีภาษีทั้งภาษีที่เก็บจากธุรกิจกาสิโนที่กำหนดอัตราภาษีที่สูง โดยหากใช้โมเดลเดียวกับสิงคโปร์
สำหรับประเด็นการลงทุนสถานบันเทิงครบวงจรควรมีข้อกำหนดจำนวนใบอนุญาต (ไลเซ่นส์) ให้ชัดเจนว่าไทยควรมีที่ไลเซ่นส์หรือไม่ โดยยกตัวอย่างสิงคโปร์กำหนดเพียง 2 ไลเซ่นส์
การกำหนดจำนวนใบอนุญาตเป็นอำนาจคณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจร โดยขณะนี้บอกไม่ได้ว่าไทยจะอนุมัติให้มีการลงทุนกี่แห่ง โดยต้องรอผลการศึกษาที่จะทำโดยสำนักงานบริหารสถานบันเทิงครบวงจรที่ตั้งขึ้นมาก่อน
ส่วนกรณีสิงคโปร์กำหนดเพียง 2 ไลเซ่นส์ เพราะขนาดพื้นที่เล็ก ส่วนไทยต้องรอผลการศึกษาว่าเหมาะสมมีกี่แห่ง โดยต้องยืดหยุ่นตามสถานการณ์และภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งอนาคตอาจลดจำนวนหรือเพิ่มขึ้นได้ แต่ต้องมีกรอบความรับผิดชอบที่ชัดเจนของผู้รับใบอนุญาต
ขณะที่การควบคุมให้ลงทุนจริงส่วนอื่นนอกเหนือกาสิโนจะทำผ่านคณะกรรมการและสำนักงาน เช่น กำหนดภายใน 2-3 ปี ต้องสร้างส่วนอื่นให้ครบ หากไม่ทำตามจะพักใบอนุญาตหรือเพิกถอนใบอนุญาตก็ได้
ประเด็นเงินฝากที่กำหนดให้คนไทยที่จะเข้าไปเล่นต้องมีบัญชีเงินฝากมากกว่า 50 ล้านบาท โดยในชั้นกรรมาธิการอาจปรับเปลี่ยน ซึ่งมีหลายหน่วยงานให้ความเห็น เช่น ให้เกณฑ์การยื่นภาษีเงินได้หรือใช้เกณฑ์เครดิตบูโร เพื่อกำหนดไม่ให้ผู้ที่มีหนี้สินพ้นตัวมาเล่นการพนันในกาสิโน
ทั้งนี้ในต่างประเทศใช้ระบบการยืนยันตัวตนที่เพิ่มความปลอดภัยทางการเงิน (KYC) ผู้เล่นกาสิโนจะถูกตรวจสอบผ่านระบบที่ชัดเจน ซึ่งป้องกันการฟอกเงิน เงินเข้า-ออก ต้องแจ้งและมีเทคโนโลยีการตรวจสอบ มีกล้องจับตลอดเวลา รวมทั้งมีเทคโนโลยีใหม่ป้องกันการใช้ชิปปลอม ใครแลกชิปคนนั้นต้องเล่นเอง
นอกจากนี้ในคณะกรรมการนโยบายของสถานบันเทิงครบวงจรมีผู้แทนจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) อยู่ด้วยจะทำให้วางนโยบายในการป้องกันการฟอกเงินตั้งแต่แรก
ประเด็นการแก้ไขเรื่องของปัญหาการติดพนันที่เป็นอีกข้อที่ฝ่ายคัดค้านกังวล รมช.คลัง กล่าวว่า ทุกวันนี้การติดการพนันมีในไทยอยู่แล้ว โดยมีผู้ลักลอบออกไปเล่นการพนันในประเทศเพื่อนบ้าน
สำหรับการแก้ไขปัญหานี้มีการพิสูจน์แล้วในสิงคโปร์ว่าเมื่อเปิดเอนเมนต์คอมเพล็กซ์มีประชากรสิงคโปร์เข้าไปเล่นการพนันในกาสิโนสัดส่วน 3% ของจำนวนประชากรทั้งหมด ในจำนวนดังกล่าวมีผู้ติดการพนัน 0.1% ซึ่งใช้กลไกตรวจจับไปพฤติกรรมผู้เล่น
ทั้งนี้ หากมีพฤติกรรมเริ่มแสดงออกถึงอารมณ์ที่รุนแรงที่เกิดจากการเล่นการพนันมีการเชิญให้หยุดเล่น และนำตัวไปรักษา บำบัด ซึ่งแนวทางต่างๆเหล่านี้เราได้กำหนดเป็นเงื่อนไขสำหรับเอกชนที่สนใจเข้ามายื่นประมูลด้วย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง