SHORT CUT
ช้างสยาม ไม่เพียงใช้เป็นพาหนะในยามศึกสงครามแต่ยังเป็นสินค้าส่งออกที่สร้างกำไรอย่างมหาศาลให้กับอยุธยารวมไปถึงเป็นทูตสร้างไมตรีกับนานาประเทศอีกด้วย
ช้างเป็นสัตว์ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสังคมไทยมาเป็นเวลานาน มีบทบาทหลากหลายทั้งในตำนาน เอกสารโบราณ และในชีวิตประจำวันของผู้คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยกรุงศรีอยุธยา ช้างมิได้เป็นเพียงสัตว์คู่บ้านคู่เมือง หรือพาหนะสำคัญในการทำศึกสงครามและการคมนาคมเท่านั้น แต่ยังเป็นสินค้าส่งออกที่สร้างรายได้มหาศาลให้แก่ราชสำนัก และเป็นเครื่องมือทางการเมืองและการทูตที่สำคัญ บทความนี้จะเจาะลึกถึงบทบาทอันหลากหลายของช้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยเน้นที่ความสำคัญในฐานะสินค้าส่งออก ราชพาหนะ และเครื่องมือทางการทูต
ในสมัยอยุธยา ช้างได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในรัตนะคู่พระจักรพรรดิราช เรียกว่า “หัตถีรัตนะ” พระยาช้างต้น ซึ่งเป็นช้างที่มีลักษณะมงคลตามตำราคชลักษณ์ โดยเฉพาะช้างเผือก มีสถานภาพสูงส่งเทียบเท่าขุนนางชั้นเจ้าพระยา และได้รับเลือกให้เป็นช้างทรงของพระมหากษัตริย์ ฟรังซัวส์ อังรี ตุรแปง ชาวฝรั่งเศส กล่าวว่าขุนนางที่มีเกียรติสูงสุดก็มิได้ถือว่าเป็นการเสื่อมเกียรติที่จะรับใช้ช้างของพระมหากษัตริย์
ช้างยังมีความสำคัญอย่างยิ่งในทางการทหาร โดยใช้เป็นพาหนะของนายทัพนายกอง ขนส่งเสบียงและอาวุธ สเคาเต็นกล่าวว่าช้างป่าจะได้รับการฝึกฝนเพื่อใช้ในการรบ ลากปืนใหญ่ และขนสัมภาระ ด้วยความสำคัญนี้เอง ทำให้ราชสำนักอยุธยาเข้ามาควบคุมการค้าช้างอย่างเข้มงวด และ ช้างได้กลายเป็นสินค้าผูกขาดของราชสำนัก นอกจากนี้ กรมพระคชบาล ซึ่งเป็นกรมใหญ่ขึ้นตรงต่อพระมหากษัตริย์ มีบทบาทสำคัญทางการเมืองอย่างสูง โดยเฉพาะตั้งแต่รัชสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททองเป็นต้นมา มีขุนนางในกรมช้างเกี่ยวข้องกับการช่วงชิงอำนาจถึงสองครั้ง
แม้ว่าการค้าช้างอาจมีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย แต่ได้ขยายตัวอย่างมากจนกลายเป็นสินค้าส่งออกข้ามชาติในสมัยอยุธยา โดยเฉพาะในช่วงหลังเสียกรุงครั้งที่ 1 การค้าช้างทางทะเลของสยามน่าจะเริ่มมีขึ้นในช่วงหลังเสียกรุงครั้งที่ 1 การค้าช้างเริ่มเฟื่องฟูในรัชสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถหรือสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม และเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดในสมัยราชวงศ์ปราสาททอง ในสมัยอยุธยา พระมหากษัตริย์ทรงสงวนสิทธิ์ในการค้าช้างแต่เพียงผู้เดียว
ตลาดค้าช้างที่ใหญ่ที่สุดคือบริเวณรอบอ่าวเบงกอล ได้แก่เมืองท่าชายทะเลฝั่งตะวันตกของสยาม เช่น ทวาย มะริด ตะนาวศรี และตรัง กับเมืองท่าฝั่งตะวันออกของอินเดีย โดยมีตลาดรับซื้อใหญ่ที่เบงกอลและชายฝั่งโคโรแมนเดล ช้างสยามเป็นที่ต้องการในดินแดนเหล่านี้เพื่อใช้ชักลากไม้ เป็นพาหนะ และใช้ในการสงคราม คุณลักษณะพิเศษของช้างสยามคือความฉลาด ฝึกฝนง่าย แข็งแรงอดทน และเหมาะกับสภาพภูมิอากาศในอินเดีย ทำให้เป็นที่นิยมกว่าช้างจากศรีลังกาที่มีขนาดเล็กกว่า
พระมหากษัตริย์จะทรงจัดให้มีการคล้องช้างปีละหลายครั้ง ได้ช้างจำนวนมาก ซึ่งส่วนหนึ่งจะถูกฝึกเพื่อใช้งานและส่งขาย พ่อค้าที่ต้องการซื้อช้างจะต้องได้รับพระบรมราชานุญาตจากพระมหากษัตริย์ ตุรแปงกล่าวว่าการค้าช้างทำให้ราชอาณาจักรสยามมีผ้าจากภูมิภาคต่างๆ ในเอเชียมากมาย ราคาช้างในสยามอยู่ที่ราว 7-8 โตมาน แต่เมื่อนำไปขายในต่างประเทศจะได้ราคาสูงถึง 30 โตมาน ทำให้การค้าช้างเฟื่องฟูมาก
อย่างไรก็ตาม การค้าช้างของสยามก็ประสบปัญหาในปลายสมัยอยุธยา เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของอิทธิพลตะวันตกและการขัดขวางการค้าของพ่อค้ามุสลิม ความขัดแย้งระหว่างสยามกับอินเดียทำให้พ่อค้ามุสลิมหันไปซื้อช้างจากที่อื่น เช่น พะโค นอกจากนี้ การที่รัฐมุสลิมในเดคคานและเบงกอลถูกจักรวรรดิโมกุลยึดครอง ทำให้ความต้องการช้างเพื่อการสงครามลดลง แม้การค้าช้างจะซบเซาลง แต่ราชสำนักบ้านพลูหลวงก็ยังคงส่งช้างไปขายที่อินเดียเป็นระยะ การค้าช้างสิ้นสุดลงเมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า และได้รับการฟื้นฟูในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น แต่เปลี่ยนไปใช้เส้นทางค้าขายที่เมืองตรัง การค้าช้างของหลวงถูกยกเลิกในรัชกาลที่ 4 เมื่อมีการยกเลิกพระคลังสินค้า
นอกเหนือจากการเป็นสินค้า การส่งช้างไปต่างแดนยังมีบทบาททางการทูตอีกด้วย สยามเริ่มส่งช้างไปจีนตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น โดยปรากฏหลักฐานใน ‘หมิงสือลู่’ ว่าสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 ทรงส่งช้างไปจีนเมื่อ พ.ศ. 1920 ในรัชกาลสมเด็จพระราเมศวรมีการส่งช้างไปจีนมากถึง 30 เชือกพร้อมทาส อย่างไรก็ตาม หลังสิ้นรัชกาลสมเด็จพระราเมศวร ไม่ปรากฏหลักฐานว่าสยามส่งช้างไปจีนอีก
บทบาทของการใช้ช้างเป็น ‘ทูตสันถวไมตรี’ ได้รื้อฟื้นขึ้นใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 4 หลังจากที่หายไปนานตั้งแต่สิ้นรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ ในยุคที่ชาติตะวันตกเข้ามามีอิทธิพลในภูมิภาค การส่งช้างไปเป็นบรรณาการแก่ประเทศมหาอำนาจ เช่น ฝรั่งเศส มีจุดประสงค์เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีและถ่วงดุลอำนาจกับชาติอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ช้างบรรณาการที่ส่งไปฝรั่งเศสในสมัยรัชกาลที่ 4 กลับมีชะตากรรมที่น่าเศร้า แม้ว่าการส่งช้างด้วยเหตุผลทางการทูตจะแสดงถึงความสำคัญของช้างในฐานะสัญลักษณ์ของชาติ แต่ในปัจจุบันก็มีการตั้งคำถามถึงความเหมาะสมในแง่ของสิทธิสัตว์
ช้างในสมัยกรุงศรีอยุธยามีบทบาทที่หลากหลายและสำคัญยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นในฐานะราชพาหนะคู่บัลลังก์และยุทธปัจจัยสำคัญในการปกป้องบ้านเมือง สินค้าส่งออกที่สร้างความมั่งคั่งให้แก่ราชสำนัก หรือเครื่องมือทางการเมืองและการทูตในการสร้างความสัมพันธ์กับต่างชาติ การค้าช้างของอยุธยาเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก โดยมีตลาดหลักอยู่ที่บริเวณอ่าวเบงกอลและความต้องการสูงในอินเดีย แม้ว่าการค้าช้างจะซบเซาลงในปลายสมัยอยุธยา แต่บทบาทของช้างในฐานะสัญลักษณ์และความสำคัญทางการทูตยังคงปรากฏให้เห็นในสมัยรัตนโกสินทร์ โดยเฉพาะการฟื้นฟูการส่งช้างเป็นเครื่องราชบรรณาการและการใช้เป็น ‘ทูตสันถวไมตรี’ ซึ่งสะท้อนถึงความผูกพันอันลึกซึ้งระหว่างช้างกับ
อ้างอิง