svasdssvasds

คนไทยยากจนลดลง! เหลือ 6.13 ล้านคน แต่เด็กจบใหม่เตะฝุ่น ว่างงานกว่า 3.6 แสนคน

คนไทยยากจนลดลง! เหลือ 6.13 ล้านคน แต่เด็กจบใหม่เตะฝุ่น ว่างงานกว่า 3.6 แสนคน

สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ ชี้คนไทยยากจนลดลง เหลือเพียง 6.13 ล้านคน แต่ตัวเลขคนไทยว่างงานไตรมาส 4 ปี 2567 อยู่ที่ 3.6 แสนคน พุ่งขึ้น 8.8% จากปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มนักศึกษาจบใหม่อายุ 20 - 24 ปี

SHORT CUT

  • หนึ่งในประเด็นที่น่าสนใจจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ ที่ได้มีการนำเสนอภาวะสังคมไทยไตรมาส4 และภาพรวม ปี 2567 นั่นก็คือสถานการณ์ความยากจนหลายมิติกับเป้าหมาย SDGs
  • ทั้งพบว่าสัดส่วนคนจนหลายมิติในทุกช่วงวัยลดลงมากกว่าครึ่งหนึ่ง โดยเฉพาะกลุ่มวัยแรงงานจากร้อยละ 16.06 เป็นร้อยละ 6.03
  • ประเด็นที่ต้องจับตามองต่อ คือ คนไทยอีกกว่า 24 ล้านคน เสี่ยงต่อการเป็นคนจนหลายมิติ หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 34.7 ของประชากรทั้งหมด โดยมีความขัดสนในด้านการมีบำเหน็จ/บำนาญมากที่สุด

สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ ชี้คนไทยยากจนลดลง เหลือเพียง 6.13 ล้านคน แต่ตัวเลขคนไทยว่างงานไตรมาส 4 ปี 2567 อยู่ที่ 3.6 แสนคน พุ่งขึ้น 8.8% จากปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มนักศึกษาจบใหม่อายุ 20 - 24 ปี

อีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ ที่ได้มีการนำเสนอภาวะสังคมไทยไตรมาส4 และภาพรวม ปี 2567 นั่นก็คือสถานการณ์ความยากจนหลายมิติกับเป้าหมาย SDGs สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ จึงได้พัฒนาดัชนีความยากจนหลายมิติของประเทศไทย (MPI) เพื่อนำมาใช้ในการประเมินความก้าวหน้าของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ในการยุติความยากจนทุกรูปแบบในทุกที่ โดยในเป้าหมายย่อยที่ 1.2 คือ ลดสัดส่วน ชาย หญิง และเด็ก ทุกช่วงวัย ที่อยู่ภายใต้ความยากจนในทุกมิติลงอย่างน้อยครึ่งหนึ่งภายในปี 2573 โดยในปี 2566 ไทยได้บรรลุเป้าหมาย

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการ สศช. เปิดเผยว่า ในการลดสัดส่วนคนจนหลายมิติแล้ว โดยมีคนจนหลายมิติจำนวน 6.13 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 8.76 จากประชากรทั้งหมด ลดลงจากปี 2558 ที่มีสัดส่วนคนจนหลายมิติร้อยละ 20.08 ทั้งนี้ พบว่า สัดส่วนคนจนหลายมิติในทุกช่วงวัยลดลงมากกว่าครึ่งหนึ่ง โดยเฉพาะกลุ่มวัยแรงงานจากร้อยละ 16.06 เป็นร้อยละ 6.03 เช่นเดียวกับเพศชายและหญิงที่ลดลงจากร้อยละ 20.39 และ 19.80 เป็นร้อยละ 9.05 และ 8.50 ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม สัดส่วนคนจนหลายมิติในเกือบทุกภูมิภาคลดลงมากกว่าครึ่งหนึ่ง ยกเว้นภาคใต้

 

สำหรับปัจจัยที่ส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมายเกิดจากการเติบโตทางเศรษฐกิจ และนโยบายรัฐ อาทิโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ นอกจากนี้ หากพิจารณาการเปลี่ยนแปลงของตัวชี้วัด MPI จะพบตัวชี้วัดที่มีการพัฒนาที่ดีขึ้นมาก คือ การใช้อินเทอร์เน็ต การเข้าถึงน้ำดื่มที่สะอาด การกำจัดขยะที่เหมาะสม การเข้าถึงการศึกษา และการมีบำเหน็จบำนาญ โดยมีสาเหตุสำคัญมาจาก 1) การพัฒนาของโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค 2) การพัฒนาระบบการศึกษา หลักสูตร และการอุดหนุนทรัพยากรการศึกษา และ 3) การสร้างและเพิ่มความครอบคลุมของหลักประกันทางสังคม

คนไทยยากจนลดลง! เหลือ 6.13 ล้านคน แต่เด็กจบใหม่เตะฝุ่น ว่างงานกว่า 3.6 แสนคน

อย่างไรก็ตามสถานการณ์ความยากจนหลายมิติของไทยยังมีประเด็นท้าทายหลายด้าน ดังนี้ 1) แม้ว่าคนจนหลายมิติจะลดลงได้อย่างรวดเร็ว แต่ยังมีคนจนอยู่อีกจำนวนมาก โดยเฉพาะคนจนอีกกว่าร้อยละ 18.8 ที่กำลังประสบปัญหาทั้งคุณภาพชีวิตและการเงิน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีปัญหาซับซ้อน อาจหลุดพ้นความยากจนได้ยาก 2) คนไทยอีกกว่า 24 ล้านคน เสี่ยงต่อการเป็นคนจนหลายมิติ หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 34.7 ของประชากรทั้งหมด โดยมีความขัดสนในด้านการมีบำเหน็จ/บำนาญมากที่สุด

3) การแก้ปัญหาความยากจนหลายมิติต้องให้ความสำคัญกับการสร้างความมั่นคงทางการเงิน ซึ่งยังมีข้อจำกัดหลายประการ แม้ว่าจะมีบำเหน็จ/บำนาญรองรับยามเกษียณมากกว่าในอดีต แต่สัดส่วนคนจนหลายมิติที่ไม่มีบำเหน็จ/บำนาญอยู่ในอันดับสูง อีกทั้ง ข้อจำกัดการดึงแรงงานนอกระบบให้เข้าสู่ระบบ รวมถึงการทำงานของคนรุ่นใหม่ที่อาจทำให้มีเสี่ยงต่อการไม่มีหลักประกันยามเกษียณ และ 4) การใช้นโยบายที่เหมือนกันในทุกพื้นที่ อาจไม่สามารถแก้ปัญหาความยากจนหลายมิติได้อย่างตรงจุด เนื่องจากปัญหามีความเชื่อมโยงกันไม่สามารถแก้ไขปัญหาใดปัญหาหนึ่งเพียงอย่างเดียว

โดยจากกรณีศึกษาของต่างประเทศที่นำ MPI มาประยุกต์ใช้ อาทิ ภูฏาน ใช้ MPI ในการตั้งเป้าหมายระดับประเทศและการวางแผนจัดสรรงบประมาณ เม็กซิโก นำข้อมูล MPI มาใช้กำหนดกลุ่มเป้าหมายและจัดลำดับความสำคัญในการแก้ปัญหา เวียดนาม มีการจัดทำและวิเคราะห์ข้อมูล MPI ร่วมกับข้อมูลอื่น เพื่อสร้างความคุ้มครองทางสังคมให้แก่คนจนหลายมิติและประชาชนที่ขัดสนด้านต่าง ๆ และ โคลอมเบีย ที่ใช้ในการจัดทำกรอบทะเบียนครัวเรือนยากจนแห่งชาติ (SISBEN) ทั้งนี้ ไทยจึงต้องมีแนวทางการลดความยากจนในระยะถัดไป

ดังนี้ 1) การปรับเป้าหมาย ตัวชี้วัด และเกณฑ์ความขัดสนให้มีความท้าทายยิ่งขึ้น 2) การส่งเสริมให้นำ MPI มาวิเคราะห์เพื่อหากลุ่มเป้าหมายในการป้องกัน และแก้ไขปัญหาความยากจน 3) การใช้ MPI เป็นข้อมูลประกอบการจัดสรรงบประมาณเพื่อแก้ไขปัญหา และ 4) การจัดทำข้อมูลให้สะท้อนคุณภาพชีวิตและครัวเรือนทุกรูปแบบเพื่อให้สามารถออกแบบนโยบายช่วยเหลือคนเหล่านี้ให้ได้อย่างแท้จริง

คนไทยยากจนลดลง! เหลือ 6.13 ล้านคน แต่เด็กจบใหม่เตะฝุ่น ว่างงานกว่า 3.6 แสนคน

นอกจากนี้ยังมีการรายงานรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาส 4 ปี 2567 หดตัวลงเล็กน้อย โดยอัตราผู้ว่างงานไตรมาส 4/2567 เพิ่มขึ้น แต่อัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำ โดยมีผู้ว่างงานมีจำนวน ทั้งสิ้น 3.6 แสนคน เพิ่มขึ้น 8.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า หรือคิดเป็นอัตราการว่างงาน 0.88% เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่อยู่ที่ 0.81% ซึ่งผู้ว่างงานส่วนใหญ่เป็นกลุ่มนักศึกษาจบใหม่อายุ 20 – 24 ปี

โดยการว่างงานเพิ่มขึ้นทั้งในกลุ่มที่เคย อยู่ที่ 12.4% และไม่เคยทำงานมาก่อนอยู่ที่ 5.4% ซึ่งกลุ่มที่เคยทำงานมาก่อนส่วนใหญ่ออกมาจากสาขาการผลิต และสาขาการขายส่ง/ขายปลีก ส่วนกลุ่มที่ไม่เคยทำงานมาก่อนส่วนใหญ่จบการศึกษาระดับอุดมศึกษา สัดส่วนที่ 53.3%

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

 

 

 

 

related