งานวิจัยจากนักเศรษฐศาสตร์สหรัฐอเมริกา ที่คว้ารางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ประจำปี 2024 ชี้ให้เห็นว่า 20% ของประเทศที่ร่ำรวยที่สุดมีรายได้มากกว่าประเทศที่ยากจนที่สุดถึง 30 เท่า
งานวิจัยจากนักเศรษฐศาสตร์สหรัฐอเมริกา ที่คว้ารางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ประจำปี 2024 งานวิจัยชิ้นนี้เป็นของ Daron Acemoglu, Simon Johnson และ James A. Robinson ได้ให้ข้อมูลเชิงลึกใหม่ ๆ ว่าเหตุใดจึงมีความแตกต่างอย่างมากในความเจริญรุ่งเรือง หรือความมั่งคั่งระหว่างประเทศ คําอธิบายที่สําคัญอย่างหนึ่งคือความแตกต่างอย่างต่อเนื่องในสถาบันทางสังคม โดยการตรวจสอบระบบการเมืองและเศรษฐกิจต่างๆ
โดยศึกษาจากประวัติศาสตร์ยุคอาณานิคมเกี่ยวกับ การออกแบบระบบของสถาบัน ที่จะมีผลต่อความเหลื่อมล้ำ ก่อให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันของความมั่งคั่งระหว่างประเทศ แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันและความเจริญรุ่งเรือง
ประเทศที่พัฒนาสถาบันที่มีความครอบคลุม ยึดมั่นในหลักนิติธรรมและสิทธิในทรัพย์สิน จะมีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ประเทศที่สร้างสถาบันทางสังคมที่แสวงหาผลประโยชน์ เน้นเอารัดเอาเปรียบ จะมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่ำอย่างต่อเนื่อง
คําอธิบายของผู้ได้รับรางวัลยังมุ่งเน้นไปที่ความขัดแย้งเกี่ยวกับอํานาจทางการเมืองและปัญหาความน่าเชื่อถือระหว่างชนชั้นนำที่ปกครองและประชากร ตราบใดที่ระบบเป็นประโยชน์ต่อชนชั้นนำ ประชากรไม่สามารถไว้วางใจได้ว่าสัญญาของระบบเศรษฐกิจที่ปฏิรูปจะยังคงอยู่ ระบบการเมืองใหม่ซึ่งอนุญาตให้ประชากรเข้ามาแทนที่ผู้นําที่ไม่รักษาสัญญาในการเลือกตั้งเสรี จะช่วยให้ระบบเศรษฐกิจได้รับการปฏิรูป
แบบจำลองของผู้ได้รับรางวัลโนเบลนี้ ยังได้อธิบายสถานการณ์ที่ทำให้สถาบันทางการเมืองถูกสร้างขึ้นและเปลี่ยนแปลงมี 3 องค์ประกอบ ดังนี้
ประการแรก คือ ความขัดแย้งเกี่ยวกับวิธีการจัดสรรทรัพยากรและใครมีอํานาจตัดสินใจในสังคม (ชนชั้นสูงหรือมวลชน)
ประการที่สอง คือ มวลชนมีโอกาสที่จะรวมตัวใช้อํานาจโดยการระดมกําลังและกดดันชนชั้นนำในสังคม ซึ่งอํานาจในสังคมที่มากกว่า ไม่ใช่แค่อํานาจในการตัดสินใจของกลุ่มชนชั้นนำ
ประการที่สาม คือ ปัญหาด้านพันธะสัญญา ซึ่งทางเลือกเดียวคือ กลุ่มชนชั้นสูงจะมอบอํานาจการตัดสินใจให้แก่ประชาชน