SHORT CUT
ย้อนปมพิพาท ปราสาทตาเมือนธม ของไทย 100 เปอร์เซ็นต์ กัมพูชาไม่มีสิทธิ์เคลม สะท้อนถึงวัฒนธรรมร่วมก่อนมีรัฐชาติและเรื่องเขตแดน
จากรณีที่ทหารกัมพูชาจำนวนหนึ่งขึ้นมาร้องเพลงชาติบริเวณประสาทตาเมือนธม ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันในโลกออนไลน์ พูดถึงปราสาทตาเมือนธมกันจนหลายคนสงสัยว่าปราสาทนี้มีประวัติความเป็นมาอย่างไร ตั้งอยู่ที่ไหน มีความเกี่ยวข้องกับกัมพูชาอย่างไร
โดยปราสาทตาเมือนธมมีอายุเกือบ 1,000 ปี ตั้งอยู่ในช่องเขาตาเมือน (หรือช่องเขาตาเมียง) เทือกเขาพนมดงรัก ในเขตบ้านหนองคันนาสามัคคี หมู่ 8 ตำบลตาเมียง อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เป็นปราสาทขนาดใหญ่ที่สุดในอุทยานประวัติศาสตร์กลุ่มปราสาทตาเมือน
ในอดีต บริเวณกลุ่มปราสาทตาเมือนยังไม่มีการรับรู้เรื่องพรหมแดนที่ชัดเจน มีเพียงแนวทิวเขาพนมดงรักที่เป็นพรหมแดนธรรมชาติ ปราสาทตั้งอยู่ใกล้กับดินแดนกัมพูชามาก การเข้าชมปราสาทสามารถทำได้จากฝั่งไทยเท่านั้น เนื่องจากทางหลวงเก่าแก่ทางฝั่งกัมพูชาถูกป่าไม้กลืนกินไป
กรมศิลปากรได้สำรวจและขึ้นทะเบียนปราสาทตาเมือนธมเป็นโบราณสถานของไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2478 ปัจจุบัน ปราสาทอยู่ภายใต้การดูแลของสำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรี ที่ผ่านมา กรมศิลปากรได้ทำการบูรณะปราสาท โดยทางการกัมพูชารับรู้มาโดยตลอด
ในช่วงที่มีข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การถือครองปราสาทพระวิหาร การปะทะได้ขยายไปถึงตาเมือน ทำให้ต้องหยุดเข้าชมปราสาทชั่วคราว ต่อมา แรงกดดันทำให้นักท่องเที่ยวไม่สามารถเดินทางเข้าไปได้ไกลกว่าทางเข้าหลักทางใต้
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 การเข้าถึงปราสาทจากฝั่งกัมพูชาเริ่มสะดวกขึ้นเนื่องจากการพัฒนาถนน กองทัพภาคที่ 2 ยืนยันว่าพื้นที่ปราสาทตาเมือนธมอยู่ในดินแดนของไทย แต่เป็นพื้นที่คาบเกี่ยวที่ยังปักปันไม่แล้วเสร็จ ไทยอนุโลมให้กัมพูชาขึ้นมาสักการะบูชาได้ในเวลาที่กำหนด แต่ไม่อนุญาตให้แสดงสัญลักษณ์ใดๆ
เคยมีกรณีที่ทหารกัมพูชาพร้อมอาวุธครบมือขอเข้าชมปราสาท แต่ถูกทหารพรานไทยเจรจาให้ถอยร่นกลับไป ในปี พ.ศ. 2553 มีกระแสข่าวว่าสมเด็จฯ ฮุนเซนจะขึ้นชมปราสาท ทำให้เกิดความกังวลว่ากัมพูชาจะอ้างสิทธิ์ในพื้นที่ ไทยยืนยันว่าพื้นที่ชายแดนจุดนี้เป็นของไทย โดยใช้แผนที่ตามหลักสากลซึ่งแบ่งพื้นที่ตามหลักสันปันน้ำ
ปราสาทตาเมือนธม ตั้งอยู่ที่ตำบลตาเมียง อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ มีอายุเกือบ 1,000 ปี และเป็นแหล่งจารึกที่อุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่งในภาคอีสานใต้ ปราสาทแห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณช่องตาเมือน ซึ่งเป็นช่องเขาที่สำคัญของเทือกเขาพนมดงรัก ในอดีต ผู้คนใช้ช่องทางนี้ในการเดินทางไปมาหาสู่กัน เชื่อมต่อระหว่างเมืองพระนครในกัมพูชากับชุมชนต่างๆ ในประเทศไทย เช่น บริเวณเขาพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ และเมืองพิมาย จังหวัดนครราชสีมา
ปราสาทตาเมือนธมเป็นศาสนสถานฮินดู ลัทธิไศวนิกาย สร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 16-17 โดยตัวปราสาทหันหน้าไปทางทิศใต้
ประกอบด้วยปราสาทประธานที่มีมณฑปยื่นออกมาด้านหน้า, ปราสาทบริวาร 2 องค์ที่มุมด้านหลัง, อาคารรูปสี่เหลี่ยม, ร่องรอยหลุมเสา และสิ่งก่อสร้างอื่นๆ ที่ล้อมรอบด้วยระเบียงคด ด้านทิศใต้มีบันไดทางขึ้นสู่ศาสนสถาน
ลวดลายสลักสมบูรณ์เฉพาะบริเวณห้องประดิษฐานรูปเคารพประธานเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ยังสลักไม่เสร็จ
สวยัมภูลึงค์ ภายในห้องครรภคฤหะของปราสาทประธานมี สวยัมภูลึงค์ ซึ่งเป็นหินธรรมชาติที่มีรูปลักษณ์คล้ายอวัยวะเพศชาย ตามความเชื่อในศาสนาพราหมณ์ สวยัมภูลึงค์เกิดขึ้นจากพระประสงค์ของพระศิวะ ทำให้มีความศักดิ์สิทธิ์และได้รับการบูชา สวยัมภูลึงค์ที่ปราสาทตาเมือนธมเป็นแท่งหินธรรมชาติที่ถูกขัดแต่งให้เป็นรูปลักษณ์ของปลายลึงค์ เชื่อมต่อกับพื้นห้องซึ่งเป็นหินธรรมชาติรองรับตัวปราสาท จารึกที่พบมีการกล่าวถึงการถวายที่ดินและสิ่งของแก่พระกัมรเตงชคัตศิวบาท ซึ่งอาจเป็นพระนามของสวยัมภูลึงค์องค์นี้
จารึกปราสาทตาเมือนธม 1: เขียนบนพื้นหินธรรมชาติภายในลานปราสาทด้วยอักษรปัลลวะ ภาษาสันสกฤต อายุราวพุทธศตวรรษที่ 12-13 เกี่ยวข้องกับความเชื่อในศาสนาพราหมณ์และการบูชาพระศิวะ
จารึกปราสาทตาเมือนธม 9: ระบุมหาศักราชตรงกับ พ.ศ. 1421 จารึกขึ้นเพื่อชี้แจงเรื่องที่ดินของศาสนสถานในรัชกาลพระเจ้าชัยวรมันที่ 3
จารึกปราสาทตาเมือนธม 4: ระบุมหาศักราชตรงกับ พ.ศ. 1556 ในรัชกาลพระเจ้าสูรยวรมันที่ 1 กล่าวถึงการถวายที่ดินและปักหลักเขตที่ดินของศาสนสถาน
จารึกปราสาทตาเมือนธม 5: ระบุมหาศักราชตรงกับ พ.ศ. 1563 ในรัชกาลพระเจ้าสูรยวรมันที่ 1 กล่าวถึงการถวายสิ่งของและข้าทาสให้เทพเจ้า
ความสำคัญ จารึกเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของปราสาทตาเมือนธมในฐานะศูนย์กลางความเชื่อถือศรัทธา และมีความสำคัญต่ออาณาจักร เนื่องจากมีการกล่าวถึงกษัตริย์ที่ถวายสิ่งของและที่ดินแก่ศาสนสถาน
ปราสาทในยุคพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ในรัชกาลพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (พ.ศ. 1724-62) มีการสร้างบ้านมีไฟหรือที่พักคนเดินทางตามเส้นทางต่างๆ หนึ่งในนั้นคือเส้นทางที่เชื่อมระหว่างเมืองพระนครกับเมืองพิมาย ซึ่งต้องผ่านช่องตาเมือน มีการสร้างบ้านมีไฟบนเส้นทางนี้ถึง 17 หลัง แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของเส้นทางนี้ในอาณาจักรเขมรโบราณ นอกจากนี้ยังมีการสร้างปราสาทตาเมือนและปราสาทตาเมือนโต๊จ ซึ่งเป็นศาสนสถานประจำที่พักคนเดินทางและอโรคยศาลตามลำดับ ปราสาทเหล่านี้เป็นหลักฐานแสดงถึงความรุ่งเรืองของชุมชนโบราณที่มีปราสาทตาเมือนธมเป็นศูนย์กลางความเชื่อถือศรัทธา
ข้อสังเกต ปราสาทตาเมือนธมองค์ที่เห็นในปัจจุบันถูกสร้างขึ้นราว พ.ศ. 1500-1600 ซึ่งสังเกตได้จากลวดลายศิลปะเขมรแบบบาปวน อาจสร้างขึ้นทดแทนปราสาทองค์ที่เก่ากว่า แต่สวยัมภูลึงค์น่าจะเป็นรูปเคารพที่มีมาแต่เดิม
กระนั้นเองกรณีปราสาทตราเมือนธม เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมร่วมของการสร้างปราสาทและยุคที่ภูมิภาคนี้ไม่มีเขตแดนหรือรัฐชาติเหมือนยุคปัจจุบัน การสร้างปราสาทรวมถึงวัฒนธรรมหลายๆ อย่างในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คือวัฒนธรรมขอม ซึ่งไม่สามารถตีความได้ว่าเป็นของประเทศใดประเทศหนึ่ง
โดยในยุคอาณาจักรขอม (Khmer Empire) ปราสาทตาเหมือนธมสร้างขึ้นในช่วงอาณาจักรขอม (พุทธศตวรรษที่ 12-13) ซึ่งครอบครองพื้นที่ในส่วนที่ปัจจุบันคือกัมพูชา ลาว และบางส่วนของไทย ปราสาทหลายแห่ง เช่น ตาพรหม นครวัด และปราสาทต่าง ๆ ถูกสร้างขึ้นในช่วงนี้
การล่มสลายของอาณาจักรขอมและการขึ้นมาของรัฐสยาม: เมื่ออาณาจักรขอมเสื่อมลง อาณาจักรสุโขทัยและต่อมาอาณาจักรอยุธยา (ซึ่งกลายเป็นสยาม) ได้เข้ามามีบทบาทในภูมิภาคนี้ ซึ่งทำให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ขัดแย้งระหว่างรัฐไทยและกัมพูชา
การกำหนดเขตแดนในยุคอาณานิคมฝรั่งเศส: ข้อพิพาทชายแดนสมัยใหม่มีจุดเริ่มต้นที่สำคัญจากช่วงยุคอาณานิคม ฝรั่งเศสเข้ามาปกครองกัมพูชาในศตวรรษที่ 19 และได้ทำข้อตกลงกับสยาม (ไทย) เกี่ยวกับการกำหนดเขตแดน การกำหนดเขตแดนนี้สร้างความไม่พอใจในภายหลัง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีปราสาทตั้งอยู่เช่น ตาเมือนธม ที่ตั้งอยู่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา
ยุคปัจจุบันและข้อพิพาทปราสาทพระวิหาร: ข้อพิพาทเกี่ยวกับปราสาทที่ชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชาเริ่มเด่นชัดมากขึ้นในศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะกรณีปราสาทพระวิหาร ที่นำไปสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ในปี 1962 ซึ่งศาลได้ตัดสินให้ปราสาทพระวิหารตกเป็นของกัมพูชา แม้ว่าประเทศไทยจะไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินและยังคงมีข้อพิพาทเกี่ยวกับพื้นที่โดยรอบปราสาท
ความพยายามในการเจรจาและการแก้ไขปัญหา: ไทยและกัมพูชาได้มีการเจรจาเพื่อหาทางแก้ไขข้อพิพาทนี้หลายครั้ง แต่ก็ยังไม่สามารถหาข้อยุติได้อย่างสมบูรณ์ โดยแต่ละประเทศต่างพยายามปกป้องผลประโยชน์ของตน
อ้างอิง
SilpaMag 1 / SilpaMag 2 / คดีปราสาทพระวิหาร ปี ค.ศ. 1962 และ 2013 / ปราสาทตาเมือนธม /