SHORT CUT
ฟ้องชู้ไม่ฟ้องหย่า กระบวนการกฎหมายที่เรียกการพิสูจน์เข้มจากภรรยาและลอยตัวสามีเจ้าปัญหา ให้อภัยสามีที่เคยนอกใจหรือหวาดกลัวการแบ่งสินสมรส? คนซวยทั้งหมดคือชู้
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ระบุเรื่องการ "ฟ้องชู้" และการ "ฟ้องหย่า" เอาไว้เพื่อจัดการความทางแพ่ง เรื่องในครอบครัว ซึ่งกฎหมายเดิมระบุว่าครอบครัวเกิดจากการสมรสของชายและหญิงตามกฎหมาย แต่ในปัจจุบันกฎหมายนี้มีการปรับปรุงใหม่แล้วเพื่อให้เท่าเทียมมากขึ้น ครอบครัวเกิดจาก "คู่สมรส" จดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นเพศกำเนิดใดก็ตาม
เดิมนั้น การฟ้องชู้ สามารถทำได้แต่เขียนไว้ไม่เหมือนกันในกรณีของภรรยาฟ้องสามีว่ามีชู้ และสามีฟ้องว่าภรรยามีชู้ (แต่ในปัจจุบันแก้ไขให้อยู่ในหลักเดียวกันแล้ว) ร่องรอยของความไม่เท่าเทียมในอดีตนี้ เขียนว่า หากภรรยาต้องการฟ้องว่าสามีคบชู้และต้องการเรียกค่าเสียหายจากชู้ จะต้องพิสูจนน์ได้ว่าชู้(หญิงอื่น)คบหาอย่างเปิดเผย คนทั่วไปรับทราบ มีหลักฐานเปิดตัว ลงรูปคู่ หรือไปออกงานด้วยกัน หมายความว่า "ภรรยา" จำเป็นต้องพิสูจน์พฤติกรรมเหล่านี้ หากเขาแอบคบไม่มีใครทราบก็ยากที่จะเอาผิด แต่หากเป็นกรณีสามีฟ้องชู้ เพียงพบว่ามีการล่วงเกินภรรยา แตะเนื้อต้องตัว จูบ ไม่ต้องทำโดยเปิดเผย ก็ฟ้องได้
ในกรณีของศิลปินดังที่เป็นข่าวอยู่ เกิดขึ้นก่อนมีกฎหมายสมรสเท่าเทียม นั่นหมายความว่า ภรรยาโดยชอบตามกฎหมายต้องทำหน้าที่พิสูจน์ความเป็นชู้นี้อย่างหนัก เพื่อเอาผิดและเรียกค่าเสียหายจากชู้เพื่อคืนความชอบธรรมให้ตัวเอง
การฟ้องชู้ และ การฟ้องหย่า ไม่เหมือนกัน กฎหมายเขียนไว้ว่าในกรณีที่ภรรยาฟ้องชู้แต่ไม่ฟ้องหย่ากับสามี (เหมือนกับให้อภัยสามีแล้ว) จะไม่สามารถเรียกค่าเสียหายจากคดีฟ้องชู้จากผู้เป็นสามีได้ แต่สามารถเรียกร้องค่าเสียหายจากชู้ได้
แต่กลับกัน หากจับได้ว่าสามีมีคนอื่นแล้วผู้เป็นภรรยา รู้สึกรับไม่ได้จนจะต้องหย่าขาดกับสามี ก็สามารถเรียกค่าเสียหายจากคดีชู้ได้จากทั้ง(อดีต)สามีของตนเองและชู้ รวมถึงจะได้รับการแบ่งสินสมรส เงินชดเชยค่าเลี้ยงดู และทรัพย์อื่นๆอันเกิดจากการหย่าร้างได้อีกทอดหนึ่งด้วย
ดังนั้น การเป็นชู้มีแต่เสียกับเสีย โดยเฉพาะการเป็นชู้กับผู้ที่สมรสแล้วตามกฎหมาย เพราะสุดท้ายหากเขาตกลงกลับไปดีกัน หรือคิดคำนวณแล้วว่าหากหย่าไปจะเสียหายด้านทรัพย์สินมากกว่าผลดี คนที่ต้องรับผิดชอบทั้งด้านจิตใจ การเสียทรัพย์ และเสียหายด้านคดีความ ก็คือชู้ แต่เพียงผู้เดียว