SHORT CUT
ฉงชิ่ง เมืองหลวงของจีนยุคหนีญี่ปุ่น สู่เมืองมหานครด้านตะวันตกเฉียงใต้ ที่พัฒนาไปไกลจนทั่วโลกจับตา เป็นมหานครที่ทันสมัยอีกแห่งหนึ่ง
ภาพลักษณ์ของนครฉงชิ่ง 1 ใน 4 มหานคร คือเมืองที่พัฒนายิ่งใหญ่ มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย เต็มไปด้วยผู้คนและ แสง สี เสียง นี่คือภาพมหานครที่สมัยของจีน ที่ทำให้ทั่วโลกตะลึงและมีผู้คนจากทุกคนจากมุมโลกอยากไปชม เมืองท่ามกลางภูเขา สายหมอก ที่ไม่ติดทะเล แต่สามารถพัฒนาได้จนทันสมัยเป็นหนึ่งนครที่น่าจับตามอง
ความสำคัญของฉงชิ่งไม่ได้มีความสำคัญแค่ในยุคปัจจุบัน แต่เป็นมหานคร ที่มีความสำคัญมาตั้งแต่อดีต โดยเฉพาะในช่วงเวลาสงครามโลกครั้งที่ 2 จีนต้องเผชิญภัยคุกคามจากญี่ปุ่น ต้องหนีจากเมืองชายฝั่งเข้าสู่ตอนในของประเทศ ฉงชิ่ง ถือว่ามีภูมิศาสตร์ดีมีทั้งแม่น้ำและภูเขา จึงเป็นตัวเลือกของรัฐบาลจีนก๊กมินตั๋งย้ายมาตั้งเมืองหลวงเพื่อตั้งรับกองทัพลูกพระอาทิตย์
ฉงชิ่ง หรือที่รู้จักกันในชื่อ จุงกิง เคยมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์จีน โดยเฉพาะในช่วง สงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อเมืองนี้กลายเป็น เมืองหลวงชั่วคราวของสาธารณรัฐจีน ภายใต้การนำของ พรรคก๊กมินตั๋ง ที่นำโดย เจียงไคเชก
ปัจจัยที่ฉงชิ่งกลายเป็นเมืองหลวงนั้นมีเกิดจากการหลบหนีการโจมตีของญี่ปุ่น เมื่อกองทัพญี่ปุ่นบุกครองจีนและยึดครองเมืองสำคัญหลายแห่ง รวมถึงกรุงปักกิ่งและนครเซี่ยงไฮ้ รัฐบาลจีนจึงจำเป็นต้องย้ายฐานที่มั่นไปยังพื้นที่ที่ปลอดภัยกว่า ฉงชิ่งซึ่งตั้งอยู่ในภูมิประเทศที่เป็นภูเขาและหุบเหว จึงเป็นสถานที่ที่เหมาะสมในการป้องกันตัวจากการโจมตีทางอากาศของญี่ปุ่น
ประกอบกับฉงชิ่งยังเป็นศูนย์กลางการผลิตและการขนส่ง เพราะฉงชิ่งมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ และมีระบบคมนาคมขนส่งที่ค่อนข้างดี ทำให้สามารถผลิตอาวุธและเสบียงสนับสนุนการสู้รบได้อย่างต่อเนื่อง
ในที่สุดฉงชิ่งจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้ของชาวจีนในการต่อต้านการรุกรานของญี่ปุ่น ทำให้ได้รับการสนับสนุนจากนานาชาติ
ในช่วงที่ฉงชิ่งเป็นเมืองหลวง ได้มีการก่อสร้างโรงงาน อู่ต่อเรือ โรงพยาบาล และที่พักอาศัยจำนวนมาก เพื่อรองรับประชากรที่อพยพมาจากพื้นที่อื่น ๆ นอกจากนี้ ฉงชิ่งยังเป็นศูนย์กลางการผลิตอาวุธและเสบียงสนับสนุนการสู้รบในแนวหน้า
แต่ในทางตรงกันข้ามช่วงเวลาดังกล่าว ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนชาวฉงชิ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากมากมายในช่วงเวลานั้น ทั้งการขาดแคลนอาหาร การขาดแคลนที่อยู่อาศัย และการถูกโจมตีทางอากาศจากกองทัพญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม ชาวฉงชิ่งก็ยังคงต่อสู้และอดทนเพื่อชาติบ้านเมือง
ถึงแม้ว่าช่วงเวลาที่ฉงชิ่งเป็นเมืองหลวงจะผ่านมานานแล้ว แต่เมืองนี้ก็ยังคงร่องรอยทางประวัติศาสตร์ให้เห็นอยู่มากมาย เช่น อุโมงค์ที่ใช้หลบภัยจากการโจมตีทางอากาศ อาคารเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในสมัยนั้น และพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเรื่องราวในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
ฉงชิ่ง จึงเป็นมากกว่าแค่เมืองหนึ่ง แต่เป็นสัญลักษณ์ของความอดทนและความกล้าหาญของชาวจีนในการต่อสู้เพื่อเอกราชและอธิปไตยของชาติ
ฉงชิ่งเองเป็น 1 ใน 4 นครที่อยู่ภายใต้การบริหารโดยตรงของรัฐบาลกลาง (อีกสามแห่ง คือ ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และเทียนจิน) และเป็นนครปกครองโดยตรงเพียงแห่งเดียวที่ไม่ได้ตั้งอยู่ริมชายฝั่งทะเล
ปัจจุบันฉงชิ่งประกอบไปด้วยโครงสร้างพื้นฐาน ครบทั้ง 5 ประเภท: ท่าเรือบก, ท่าเรือ, ท่าอากาศยาน, ภาคการผลิต, และการพาณิชย์
ฉงชิ่งมีเครือข่ายทางหลวง 3 วงแหวนที่เชื่อมต่อ 18 จุดภายในเมือง และเชื่อมต่อกับภูมิภาคอื่นๆ5 นอกจากนี้ยังมีเส้นทางรถไฟ 8 ทิศทาง และ รถไฟเจียงจิน ที่ให้บริการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ45
ฉงชิ่งมีเส้นทางรถไฟเชื่อมต่อจีน-ยุโรป, จีน-ลาว, จีน-เวียดนาม, จีน-เมียนมา, และเฉิงตู-ฉงชิ่ง6 เครือข่ายโลจิสติกส์ครอบคลุม 124 ประเทศและ 532 ท่าด่าน6
ด้วยผลลัพธ์ที่การพัฒนาเมืองอย่างต่อเนื่องนี้ส่งผลให้ฉงชิ่งมี ปริมาณและมูลค่าสินค้าเพิ่มขึ้นสองเท่าเป็นเวลา 3 ปีติดต่อกัน ตัวอย่างเช่น รถไฟสินค้าห่วงโซ่ความเย็น ช่วยให้การขนส่งทุเรียนสดจากไทยมายังฉงชิ่งใช้เวลาเพียง 4 วัน และในปี 2024 ฉงชิ่งเพิ่งเปิด รถไฟขนส่งข้ามพรมแดนระหว่างจีน ลาว ไทย และมาเลเซีย
ทำให้ฉงชิ่งไม่ได้เป็นเพียงเมืองประวัติศาสตร์ หรือการท่องเที่ยว อย่างเดียว แต่ยังเป็น ศูนย์กลางโลจิสติกส์ที่สำคัญของจีน ที่มีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงเศรษฐกิจของจีนกับภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลก
อ้างอิง
Expedia / จีน-ไทย นิวส์ /
ข่าวที่เกี่ยวข้อง