svasdssvasds

ประวัติวันแม่สหรัฐฯ จุดเริ่มต้นการซื้อของขวัญดีๆ ให้วันแม่ แบบลูกกตัญญู

ประวัติวันแม่สหรัฐฯ จุดเริ่มต้นการซื้อของขวัญดีๆ ให้วันแม่ แบบลูกกตัญญู

ประวัติวันแม่สหรัฐอเมริกา กำเนิดจาก ‘แอนนา จาร์วิส (Anna Jarvis) ’ ครูสาวคนหนึ่ง ที่เรียกร้องให้มีวันแม่ จุดเริ่มต้นการซื้อของขวัญวันแม่ของทั่วโลก

SHORT CUT

  • วันแม่สหรัฐฯ เกิดจากความตั้งใจของ ‘แอนนา จาร์วิส (Anna Jarvis)’ ครูสาวคนหนึ่ง ที่เรียกร้องให้มีวันแม่ เพื่อลำลึกถึงความเสียสละของ ‘ผู้เป็นแม่’ ในสงครามกลางเมือง 
  • วันแม่กลายเป็นวาระระดับชาติในปี 1914 แต่บริษัทต่างๆ กับใช้โอกาสในวันแม่ในการโปรโมทสินค้าของตัวเองจนทำให้วันแม่กลายเป็นวันแห่งการจับจ่ายซื้อของ 
  • แอนนา ก็ใช้เวลาในชีวิตหลายปีทะเลาะกับ เจ้าของร้านขายดอกไม้ ผู้ผลิตการ์ด และอุตสาหกรรมขนมหรืออาหาร ที่แสวงหากำไรจากวันหยุดนี้แบบไม่จบสิ้น 

ประวัติวันแม่สหรัฐอเมริกา กำเนิดจาก ‘แอนนา จาร์วิส (Anna Jarvis) ’ ครูสาวคนหนึ่ง ที่เรียกร้องให้มีวันแม่ จุดเริ่มต้นการซื้อของขวัญวันแม่ของทั่วโลก

ทุกประเทศต่างมี ‘วันแม่ (Mother's Day)’ เป็นของตัวเอง และต่างก็ใช้วันนั้นเป็นช่วงเวลาลำลึกถึงพระคุณของแม่ และความสำคัญของสถาบันครอบครัวไม่ต่างกัน แต่ที่ไม่เหมือนกัน คือความเป็นมาของวันแม่แต่ละประเทศ

สำหรับสหรัฐอเมริกา วันแม่ เกิดจากความตั้งใจของ ‘แอนนา จาร์วิส (Anna Jarvis)’ ครูสาวคนหนึ่ง ที่เรียกร้องให้มีวันแม่ เพื่อลำลึกถึงความเสียสละของ ‘ผู้เป็นแม่’ ในช่วง ‘สงครามกลางเมืองสหรัฐฯ (American Civil War) ’

ประวัติวันแม่แห่งอเมริกา 

แอนนา ลืมตาดูโลกเมื่อปี 1864 ในเมืองเว็บสเตอร์ รัฐเวสต์เวอร์จิเนีย โดยเป็นบุตรสาวของ ‘แอนน์ จาร์วิส (Ann Jarvis)’ ผู้เป็นแม่ และยังเป็นครูผู้ก่อตั้ง ‘ชมรมงานวันแม่ (Mothers’ Day Work Clubs) ’ ซึ่งเป็นชมรมท้องถิ่นที่เน้นให้ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการคลอดบุตร และสุขอนามัยของคนเป็นแม่ เนื่องจากพื้นที่แถบนั้นขึ้นชื่อเรื่องผู้หญิงมักเสียชีวิตขณะคลอดบุตร เพราะสุขอนามัยไม่ดี

‘แอนนา จาร์วิส (Anna Jarvis) ’ ครูสาวผู้ให้กำเนิดวันแม่สหรัฐฯ  Photo Library of Congress

แต่เมื่อสงครามกลางเมืองเริ่มขึ้นในปี 1861 รัฐที่ครอบครัวจาร์วิสอาศัยอยู่ กลายเป็น พื้นที่การสู้รบที่โหดร้ายระหว่างฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้ แอนน์แม่ของแอนนา จึงได้เรียกร้องให้ชมรมงานวันแม่วางตัวเป็นกลาง และช่วยเหลือทหารที่บาดเจ็บทั้ง 2 ฝ่าย เพราะแอนน์เชื่อว่า ‘ความเป็นแม่’ ไม่ได้หมายถึงการดูแลลูกๆ ของตัวเองเท่านั้น แต่หมายถึง “การเป็นแม่ในสังคม” ที่ต้องดูแลชุมชนให้มีความปลอดภัย ทำให้ ชมรมงานวันแม่มีชื่อเสียงอย่างมากในสงคราม จนมีเรื่องเล่าจากค่ายทหารของฝ่ายเหนือว่า พวกเธอทำงานดูแลทหารที่บาดเจ็บอย่างเต็มที่ และยังช่วยหยุดโรคระบาดในค่าย ซึ่งช่วยชีวิตทหารไว้นับไม่ถ้วน และในปี 1868 หลังสงครามสิ้นสุด มีรายงานว่าแอนน์ได้จัดวันมิตรภาพของแม่ขึ้น เพื่อส่งเสริมการปรองดองระหว่างทหารผ่านศึกทั้งสองฝ่าย รวมไปถึงมิตรภาพระหว่างครอบครัวของพวกเขาด้วย

ต่อมาปี 1870 แอนนาผู้เป็นลูกสาว ซึ่งมีอายุ12 ปี เล่าว่า วันหนึ่งเห็นแม่แอนน์ ใช้เวลาหลังจากสอนหนังสือเสร็จ สวดภาวนาว่า สักวันหนึ่งจะมีใครสักคนสร้างวันเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้หญิงที่อุทิศตนช่วยเหลือทหารในสงคราม ซึ่งอธิษฐานนั้นตราตรึงอยู่ในหัวใจของเธอ

แอนน์ จาร์วิส แม่ของแอนนา แรงบันดาลใจผู้ให้กำเนิดวันแม่สหรัฐฯ Photo picryl.com

กำเนิดวันแม่สหรัฐฯ 

เมื่อแอนน์ จาร์วิส เสียชีวิตในปี 1905 แอนนาจึงตัดสินใจว่าจะอุทิศชีวิตที่เหลือเพื่อเป็นเกียรติแก่แม่ผู้เสียสละต่อไป เธอที่เวลานั้นเป็นครูเหมือนกับแม่ จึงเริ่มรณรงค์ให้สังคมเห็นความสำคัญของแม่ ผ่านจดหมายและการพูดในที่สาธารณะ ซึ่งเธอและผู้สนับสนุนตกลงกันว่า ‘วันแม่’ จัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่สองของเดือนพฤษภาคม ซึ่งตรงกับวันที่แอนน์ จาร์วิสเสียชีวิตนั่นเอง

และไม่กี่ปีหลังจากนั้น รัฐต่างๆ เกือบทั้งหมดของสหรัฐฯ ก็ได้เฉลิมฉลองวันแม่ และกระแสนี้ก็แพร่กระจายไปยังประเทศอื่นๆ อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ในปี 1914 ประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสัน (Woodrow Wilson) ’ ได้กำหนดให้วันแม่เป็นวันหยุดประจำชาติของสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการ

'วันแม่' วันแห่งทุนนิยมสมัยใหม่ 

แต่ถึงแม้วันแม่จะกลายเป็นวาระระดับชาติได้ แต่มันกลับไม่ใช่อย่างที่แอนนาคิดเมื่อเวลาผ่านไป เพราะเดิม ‘วันแม่’ ในความหมายของเธอคือวันที่ต้องให้เกียรติแก่แม่สำหรับบทบาทอันล้ำค่าของพวกเธอ ในฐานะผู้ดูแลบ้านและการอุทิศตนเพื่อครอบครัวอย่างไม่เห็นแก่ตัว แต่บริษัทต่างๆ กับใช้โอกาสในวันแม่ในการโปรโมทสินค้าของตัวเองจนดูไม่เหมาะสม

แอนนาเคยให้สัมภาษณ์วอชิงตันโพสต์เมื่อปี 1986 ว่า “ “พวกเขาเอาวันแม่ของฉันไปใช้ในเชิงพาณิชย์”

หลังจากนั้นแอนนาก็ใช้เวลาในชีวิตหลายปีทะเลาะกับ เจ้าของร้านขายดอกไม้ ผู้ผลิตการ์ด และอุตสาหกรรมขนมหรืออาหารที่แสวงหากำไรจากวันหยุดนี้แบบเห็นแก่ตัว และพยายามต่อสู้เพื่อรักษาความหมายดั้งเดิมของวันแม่เอาไว้

ในปี 1923 เธอว่าจะฟ้องผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก ‘อัล สมิธ (Al Smith) ’ กรณีจัดงานวันแม่ และในปี 1931 เธอได้ทะเลาะกับเอลีเนอร์ โรสเวลต์ (Eleanor Roosevelt) ’ สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งแห่งนิวยอร์ก เรื่องการตั้งคณะกรรมการวันแม่ซึ่งเป็นคู่แข่งกันกับสมาคมของเธอ

แม้แต่องค์กรการกุศลก็กลายเป็นเป้าหมายของการดูถูกเหยียดหยามของแอนนา ในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ปี 1930 องค์กรการกุศลจัดงานระดมทุนเพื่อช่วยแม่ที่ขาดรายได้ แต่เธอกลับไม่พอใจในเรื่องนี้ เพราะเหมือนตีตราว่าคนแม่ทำมาหากินเองไม่ได้

ให้ของขวัญในวันแม่ ธรรมเนียมวปกติของวันแม่

แม่การกระทำของแอนนาจะดูสุดโต่ง แต่เหตุผลที่เธอโกรธในเรื่องนี้ก็มีเหตุผล ซึ่ง ‘แอนโทลินี (Antolini) ’ หัวหน้าภาควิชาประวัติศาสตร์ที่ West Virginia Wesleyan College ผู้ที่ศึกษาทุกอย่างเกี่ยวกับ ‘แอนนา จาร์วิส’ เผยว่าแอนนาไม่เคยมีลูก และเป็นโสดอยู่ตลอด เธอจึงเป็นหญิงแกร่ง และมีความรักอิสระ แต่นั่นก็ทำให้มุมมองเรื่องความเป็นแม่ของเธอแคบไปด้วย เพราะเธอเป็นแค่เด็กที่รักแม่มาก แต่ไม่เคยต้องเป็นแม่คน เธอจึงไม่เข้าใจว่า ความเป็นแม่ในสมัยใหม่ผูกพันกับเรื่องการเมือง

“เด็กๆ มีมุมมองที่เรียบง่ายมากเกี่ยวกับความเป็นแม่ และเด็กผู้หญิงที่ต่อมากลายเป็นแม่จะมีมุมมองเกี่ยวกับความเป็นแม่ที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ซึ่งการเป็นแม่กำลังมีบทบาททางการเมืองมากขึ้นเพื่อช่วยชีวิตแม่ของเด็กคนอื่นๆ” แอนโทลินี กล่าว อันโตลินีกล่าว ความไม่พอใจของเธอ ที่วันแม่กลายเป็นแห่งทุนนิยมนั้น เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะ แอนนาไม่ต้องการให้วันนี้ ทำให้แม่กลายเป็นขอทาน หรือมีแต่การจัดงานการกุศล แต่ควรเป็นวันที่ทำให้คุณไม่ลืมว่า คุณต้องให้เกียรติแม่อยู่เสมอ

อย่างไรก็ตาม ในช่วงปี ค.ศ. 1940 แอนนาเริ่มป่วยจากการได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ และเริ่มสูญเสียการมองเห็นไปเรื่อยๆ ในปี เธอเสียชีวิตวันที่ 24 พฤศจิกายน ค.ศ. 1948 ขณะมีอายุ 84 ปี

คนสหรัฐฯ ใช้จ่ายในวันแม่มากที่สุด 

'วันแม่' มรดกของแอนนา ก็กลายเป็นวันแห่งเป็นการเฉลิมฉลอง และการจับจ่ายใช้สอยในสหรัฐๆ แบบเต็มตัว อ้างอิงจากเว็บไซต์ USA TODAY ของสหรัฐที่เผยว่า ผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะใช้จ่ายในวันแม่ปี 2024 ถึง 35,700 ล้านดอลลาร์ โดยเฉลี่ยแล้วอยู่ที่ 274 ดอลลาร์ต่อคน ซึ่งมากสุดเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์วันแม่ทั้งหมด ซึ่งแน่นอนว่าค่าใช้จ่ายนี้ คือของขวัญวันแม่อย่างไม่ต้องสงสัย

เพราะจากข้อมูลเผยว่า คุณแม่มักจะรู้สึกขอบคุณในสิ่งที่คุณทำเพื่อพวกเขา โดย คุณแม่ 78% ที่เข้าร่วมการสำรวจ ในปี 2023 กล่าวว่าพวกเขาไม่เคยผิดหวังกับของขวัญวันเลย ซึ่งมีตั้งแต่เครื่องเพชร เครื่องใช้ไฟฟ้า ดอกไม้ ไปจนถึง ดินเนอร์ในร้านสุดหรู ซึ่งลูกๆ ของพวกเธอเต็มใจจ่ายในวันนี้เป็นพิเศษ

เวลากับแม่มีค่ากว่าของขวัญ

เวลากับแม่มีค่ากว่าของขวัญ

มาถึงตรงนี้จึงสรุปได้ว่า วันแม่เกิดจากความตั้งใจในการลำลึกถึงการเสียสละของแม่ แต่เมื่อเวลาผ่านไปบริษัททุนนิยมต่าง เริ่มเล็งเห็นโอกาสเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในวันแม่ของแต่ละคน ด้วยการโฆษณาสินค้าและโปรโมชั่นที่ออกมาเพื่อวันแม่โดยเฉพาะ จึงทำให้วันแม่เป็นวันแห่งการซื้อของมามอบให้แม่ไปโดยปริยาย หรือถ้าไม่มีของก็ต้องมีเงินสดให้ หากใครไม่ทำตามค่านิยมนี้จะดูผิดแปลกไปจากสังคมทันที

จริงอยู่ที่การซื้อของที่มีประโยชน์ คือการตอบแทนบุญคุณของแม่ในอีกทางหนึ่ง แต่อย่าลืมว่าเวลามีค่ามากกว่าเงิน และคุณไม่จำเป็นต้องเสียเงินมากมายเพื่อทำให้แม่มีความสุข เพราะของขวัญที่แม่ทุกคนอยากได้คือ ประสบการณ์ดีๆ ที่ได้ใช้ร่วมกับลูกมากกว่า

ที่มา : Washington Post

ข่าวที่เกี่ยวข้อง 

related