svasdssvasds

ทิ้งนิวเคลียร์ใส่ฮิโรชิมา และนางาซากิ ญี่ปุ่นยอมแพ้ ไทยได้ประโยชน์ด้วย

ทิ้งนิวเคลียร์ใส่ฮิโรชิมา และนางาซากิ ญี่ปุ่นยอมแพ้ ไทยได้ประโยชน์ด้วย

หากสหรัฐฯ ไม่ทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ลงที่ฮิโรชิมา และนางาซากิ ญี่ปุ่นจะไม่ยอมแพ้ และแผ่นดินไทยอาจเหมือนโศกนาฏกรรมที่หนานจิง?

SHORT CUT

  • ญี่ปุ่นไม่ได้ยอมแพ้เพราะนิวเคลียร์เหตุผลเดียว แต่ยังถูกกองทัพโซเวียตบุกดินแดนด้วย จึงสู้ศึก 2 ด้านไม่ไหว 
  • การที่ญี่ปุ่นยอมแพ้เร็ว ส่งผลดีต่อประเทศไทย เพราะหากไม่มีการใช้นิวเคลียร์ ญี่ปุ่นจะสู้ต่อไป และแผ่นดินไทยอาจเหมือนโศกนาฏกรรมที่หนานจิง? 
  • โลกเคยเกือบมีสงครามนิวเคลียร์มาแล้วในปี 1995 จากการที่รัสเซียเข้าใจผิด คิดว่าจรวดตรวจอากาศของสหรัฐฯ เป็นอาวุธนิวเคลียร์ 

 

หากสหรัฐฯ ไม่ทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ลงที่ฮิโรชิมา และนางาซากิ ญี่ปุ่นจะไม่ยอมแพ้ และแผ่นดินไทยอาจเหมือนโศกนาฏกรรมที่หนานจิง?

วันที่ 6-9 ส.ค. 67 นี้ คือวันครอบรอบ 79 ปี การทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ลงฮิโรชิมา และเมืองนางาซากิ ซึ่งถือเป็นจุดสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 และยังเป็นการเตือนให้ชาวโลกตระหนักว่า ประเทศมหาอำนาจได้พัฒนาอาวุธทำลายล้างชนิดนี้สำเร็จแล้ว ซึ่งมันได้ส่งผลต่อการเมืองโลกหลังจากนั้นไปตลอดกาล

SPRiNG ชวนคุยกับ ปัญญาณัฏฐ์ ณัธญาธรนิประดิษฐ์ หรือครูเบน อดีตผู้เข้าแข่งขันรายการแฟนพันธุ์แท้สงครามโลก เมื่อปี 2555 ซึ่งปัจจุบันเป็นเจ้าของ ช่องยูทูบ ‘KruBen WarHistory’ และเจ้าของแฟนเพจเฟซบุ๊ก ‘KruBen WarHistory’ คอมมูนิตี้เล่าเรื่องประวัติศาสตร์สงครามจากหลายยุคสมัยบนโลก ซึ่งเขาจะมาเล่าถึงเหตุผลที่สหรัฐฯ เลือกใช้อาวุธนิวเคลียร์กับญี่ปุ่น ซึ่งการที่ญี่ปุ่นยอมแพ้สงครามส่งผลต่อประเทศไทยอย่างไรบ้าง และในอนาคตมีความเป็นไปได้ไหมที่จะเกิดสงครามนิวเคลียร์

ปัญญาณัฏฐ์ ณัธญาธรนิประดิษฐ์ หรือครูเบน

ครูเบนเล่าว่า ในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 ปี 1945 ฝ่ายสัมพันธมิตรพิชิตเยอรมนีในยุโรปได้แล้ว เหลือแค่ญี่ปุ่นที่ยังคงต่อสู้อยู่ในเอเชีย ซึ่งก็ได้มีความพยายามส่งทูตไปเจรจาให้ญี่ปุ่นยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไข เพราะดื้อดึงไปยังไงก็แพ้ แต่เพราะความเป็นชาตินิยมแบบญี่ปุ่น รัฐบาลญี่ปุ่นเลยตัดสินใจแล้วว่า จะไม่ยอมแพ้ เพราะถ้ายอมก็มีโทษถึงประหาร แต่ท้าสู้อาจมีโอกาสรอด ซึ่งมันเป็นเรื่องเพ้อฝันที่ไม่จริง เนื่องจากเวลานั้นเกาะญี่ปุ่นโดนปิดล้อมหมดแล้ว

เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนั้น สหรัฐฯ ที่ซุ่มพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์มานาน ก็มองว่าการใช้อาวุธชนิดนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้วในการกดดันญี่ปุ่น แต่พวกเขาก็ไม่ได้คาดหวังว่าญี่ปุ่นจะยอมแพ้เพราะอาวุธนิวเคลียร์ และสหรัฐก็ได้เตรียมแผน ‘ยุทการดาวน์ฟอล (Operation Downfall) ’ เอาไว้บุกแผ่นดินใหญ่ญี่ปุ่นด้วย ซึ่งก่อนจะบุกเข้าไปจะมีการทิ้ง นิวเคลียร์ตามเมืองสำคัญต่างๆ ซึ่งมันจะมากกว่า 2 ลูกด้วยซ้ำ และจะทำให้มีพลเรือนญี่ปุ่น ทหารญี่ปุ่น และทหารพันธมิตร ล้มตายอีกจำนวนมาก และสงครามอาจลากยาวไปถึงปี 1950

ญี่ปุ่นไม่ได้ยอมแพ้เพราะนิวเคลียร์อย่างเดียว 

ครูเบนเล่าว่า ในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 ปี 1945 ฝ่ายสัมพันธมิตรพิชิตเยอรมนีในยุโรปได้แล้ว เหลือแค่ญี่ปุ่นที่ยังคงต่อสู้อยู่ในเอเชีย ซึ่งก็ได้มีความพยายามส่งทูตไปเจรจาให้ญี่ปุ่นยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไข เพราะดื้อดึงไปยังไงก็แพ้ แต่เพราะความเป็นชาตินิยมแบบญี่ปุ่น รัฐบาลญี่ปุ่นเลยตัดสินใจแล้วว่า จะไม่ยอมแพ้ เพราะถ้ายอมก็มีโทษถึงประหาร แต่ท้าสู้อาจมีโอกาสรอด ซึ่งมันเป็นเรื่องเพ้อฝันที่ไม่จริง เนื่องจากเวลานั้นเกาะญี่ปุ่นโดนปิดล้อมหมดแล้ว

เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนั้น สหรัฐฯ ที่ซุ่มพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์มานาน ก็มองว่าการใช้อาวุธชนิดนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้วในการกดดันญี่ปุ่น แต่พวกเขาก็ไม่ได้คาดหวังว่าญี่ปุ่นจะยอมแพ้เพราะอาวุธนิวเคลียร์ และสหรัฐก็ได้เตรียมแผน ‘ยุทการดาวน์ฟอล (Operation Downfall) ’ เอาไว้บุกแผ่นดินใหญ่ญี่ปุ่นด้วย ซึ่งก่อนจะบุกเข้าไปจะมีการทิ้ง นิวเคลียร์ตามเมืองสำคัญต่างๆ ซึ่งมันจะมากกว่า 2 ลูกด้วยซ้ำ และจะทำให้มีพลเรือนญี่ปุ่น ทหารญี่ปุ่น และทหารพันธมิตร ล้มตายอีกจำนวนมาก และสงครามอาจลากยาวไปถึงปี 1950

ทว่าเมื่อทิ้งนิวเคลียร์ไป 2 ลูก ก็ทำให้ญี่ปุ่นเสียหายหนักไปแล้ว ญี่ปุ่นยังโดนกดดันอีกทางนั่นคือ ‘กองทัพแดง’ แห่งสหภาพโซเวียต หากย้อนกลับไปในปี 1941 ญี่ปุ่นกับโซเวียต เคยลงนามความเป็นกลาง และจะไม่รุกรานกันเอาไว้ (Soviet–Japanese Neutrality Pact) แต่สัญญานี้จะหมดอายุในปี 1946 ซึ่งทางโซเวียตก็ไม่ได้แสดงท่าทีจะต่อสัญญานี้ และในที่สุดโซเวียตก็บุก แมนจูเรียซึ่งเป็นดินแดนที่ญี่ปุ่นยึดครอง จึงทำให้ญี่ปุ่นโดนกดดันจากทั้งสหรัฐฯ และโซเวียต จนนำมาสู่การยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไขในวันที่ 15 ส.ค. 1945 ในที่สุด

ทิ้งนิวเคลียร์ใส่ฮิโรชิมา และนางาซากิ ญี่ปุ่นยอมแพ้ ไทยได้ประโยชน์ด้วย

ญี่ปุ่นโดนระเบิดนิวเคลียร์ ไทยได้ประโยชน์มากที่สุด?

ครูเบนเล่าว่า หากไม่มีการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ที่ญี่ปุ่น อาจมีการหลั่งเลือดบนแผ่นดินประเทศไทย เพราะกองทัพญี่ปุ่นจะสู้ต่อไปและฝ่ายพันธมิตรก็มีแผนที่จะบุกเข้าสู่ประเทศไทยในช่วงปลายปี 1945 แต่ก่อนที่การบุกจะเริ่มขึ้น กองทัพพันธมิตรจะโหมการโจมตีทางอากาศต่อที่มั่นทางทหาร และเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ต่างๆ ในประเทศไทย และจะต้องมีประชาชนรับเคราะห์จากสงครามที่ยังต้องดำเนินต่อไป

เมื่อการบุกเข้าสู่ประเทศไทยตามแผนเริ่มขึ้น แนวร่วมกองกำลังต่อต้านญี่ปุ่นในไทยจะลุกฮือขึ้นต่อสู้และจะประสานพร้อมกับสนับสนุนการบุกของฝ่ายพันธมิตร เมื่อเป็นเช่นนั้นกองทัพญี่ปุ่นจะสู้แบบหลังชนฝาเพราะพวกเขาถอยเข้ามาในไทยประเทศพันธมิตรของตนเองแต่กลับถูกหักหลัง พวกเขาจะโกรธกับการย้ายข้างของไทย ดังนั้น พลเรือนผู้บริสุทธิ์ที่ไม่เกี่ยวกับการทำสงครามจะกลายเป็นเครื่องรองรับโทสะของทหารญี่ปุ่น เหตุการณ์แบบหนานกิงหรือมะนิลา อาจจะเกิดขึ้น ณ จุดใดจุดหนึ่งของประเทศไทย และถ้ามันเกิดขึ้นแล้ว มันจะกลายเป็นรอยแผลทางประวัติศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับญี่ปุ่นไปอีกนานแสนนาน

ภาพถ่ายเมืองฮิโรชิมา หลังทิ้งระเบิดนิวเคลียร์

การใช้นิวเคลียร์ นับอาชญากรรมสงครามหรือไม่?

ในประเด็นนี้ ครูเบนเล่าว่า ช่วงสงครามโลก ไม่ว่าจะฝ่ายไหน หากทำสงครามกัน เขาจะยึดถือสัญญาแค่ 2 ฉบับ คือ ‘อนุสัญญาเจนีวา (Geneva Conventions) ’ และ ‘สนธิสัญญากรุงเฮก (The Hague Conventions) ’ ซึ่งมีกฎคุ้มครองพลเรือนจากการรบ และคุ้มครองเชลยศึกไม่ให้ถูกทรมาน แต่ที่น่าสังเกตคือไม่มีกฎบัญญัติข้อไหนระบุว่า ต้องคุ้มครองพลเรือนจากการโจมตีทางอากาศเลย

เหตุผลคือ เพราะโลกยังเข้าใจว่า อากาศยานหรือเครื่องบินเป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ แม้จะมีการใช้อยู่บ้างในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ในการโจมตีและทิ้งระเบิด แต่ผลกระทบหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 คือปัญหาเศรษฐกิจและการระบาดของไข้หวัดสเปน ซึ่งเป็นภัยต่อประชาชนแบบชัดเจน จึงไม่ฝ่ายไหนมานั่งแก้กฎหมายให้พลเรือนได้รับการคุ้มครองจากการถูกโจมตีโดยเครื่องบินแบบจริงจัง

กลายเป็นว่า การโจมตีทางอากาศที่มีเป้าหมายเป็นพลเรือน สามารถทำได้ในสงครามโลกครั้งที่ 1-2 เพราะเหตุผลง่ายๆ คือไม่มีข้อห้ามตรงนี้ ที่เห็นได้ชัดคือ เมื่อสงครามจบลง จอมพล ‘เฮอร์มาน เกอริง (Hermann Goering) ’ ผู้บัญชาการกองทัพอากาศเยอรมนีถูกตั้งข้อหาหลายข้อ แต่ไม่มีสักข้อที่ระบุว่า เขามีความผิดฐานสั่งทิ้งระเบิดใส่ประชาชน เช่นเดียวกับฝ่ายพันธมิตร ที่ไม่มีนายทหารสักคนขึ้นศาลเรื่องทิ้งระเบิดนิวเคลียร์เลย

ทหารสหรัฐฯ กับเด็กชาวญี่ปุ่นหลังสงคราม

หลังสงคราม สหรัฐฟื้นฟูญี่ปุ่นมากที่สุด

ต้องยอมรับว่าสหรัฐเป็นนักเสี่ยงโชคโดยสัญชาตญาณ จริงอยู่เขาคือศัตรูที่ทำให้ญี่ปุ่นย่อยยับ แต่เขาก็มองออกว่า ถ้าเปลี่ยนญี่ปุ่นจากศัตรูให้เป็นมิตรได้ จะเป็นประโยชน์มาก เพราะเขาสามารถใช้เป็นฐานในการบุกจีน หรือสหภาพโซเวียตได้ เนื่องจาก 2 ชาตินี้ที่เคยเป็นพันธมิตรกันในสงครามโลก เริ่มมีทีท่าเป็นศัตรูกับสหรัฐฯ เพราะอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกัน

ดังนั้น ในบรรดาชาติต่างๆ ที่สหรัฐฯ เข้าไปช่วยเหลือหลังสงคราม ญี่ปุ่นถือว่าได้รับการช่วยเหลือจากสหรัฐฯมากที่สุด และไม่ได้ช่วยแค่ด้านมนุษยธรรม แต่ยังช่วยร่างรัฐธรรมนูญด้วย ขณะที่ เยอรมนี กับอิตาลี เขายังไม่ทำถึงขนาดนั้นเลย เพราะสหรัฐฯ เล็งเห็นว่า ญี่ปุ่นนี่แหละ คือชาติที่เขาต้องร่วมมือด้วยตลอดไปหลังจากนี้

โลกเคยเกือบมีสงครามนิวเคลียร์มาแล้ว!

ครูเบนกล่าวว่า หากอ้างอิงตามหนังสือประวัติศาสตร์ ‘วิกฤตการณ์คิวบา (Cuban Missile Crisis) ’ ปี 1962 คือช่วงที่โลกเสียงเกิดสงครามนิวเคลียร์มากที่สุด เพราะ สหรัฐอเมริกา กับโซเวียตเผชิญหน้ากันโดยตรง เหลือแค่สั่งยิงก็จบ ซึ่งโชคดีที่มันไม่เกิดขึ้น

แต่อีกเหตุการณ์หนึ่งที่คนไม่ค่อยรู้จักคือ ปี 1995 หลังสหภาพโซเวียตล่มสลาย กลายเป็นสหพันธ์รัสเซียแล้ว สถานีเรดาร์ของรัสเซียที่อยู่ทะเลเหนือ เขาจับสัญญาณได้ว่ามีขีปนาวุธยิงเข้ามาในประเทศ เขาก็ตกใจและคาดว่าต้องยิงมาจากเรือรบสหรัฐฯ สักลำหนึ่ง ประธานาธิบดี ‘บอริส เยลต์ซิน (Boris Yeltsin) ’ ของรัสเซียตอนนั้น จึงเรียกประชุมเจ้าหน้าที่ระดับสูง และมีการเอากระเป๋ายิงนิวเคลียร์ มาเตรียมพร้อม และยังแจ้งแก่ทหารจำนวนมกว่านี่ไม่ใช่การซ้อม แต่คือสงครามจริง นอกจากนี้ยังสั่งให้เรือดำน้ำที่ลาดตระเวนอยู่แถวชายฝั่งสหรัฐฯ เตรียมยิงขีปนาวุธตอบโต้เต็มที่

นายทหารรอบข้างประธานาธิบดีบอริส ต่างเร่งเร้าให้เขายิงตอบโต้ทันที แต่ ประธานาธิบดีรัสเซีย ยังคงใจเย็น และหลังจากผ่านไปหลายนาที ยังไม่มีรายงานว่าเมืองไหนของรัสเซียถูกโจมตีจากอาวุนิวเคลียร์ และท้ายที่สุด ปรากฏว่า ขีปนาวุธที่เห็นในเรดาร์รัสเซีย แท้จริงแล้วเป็นแค่จรวดสำรวจชั้นบรรยากาศของ สหรัฐฯ และนอร์เวย์ และกลายเป็นว่า เกือบเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 แบบไม่ได้ตั้งใจ

เหตุการณ์นี้ ให้ประธานาธิบดีบอริสถึงกับขึ้นไปคุยกับสหรัฐฯ เพื่อหา มาตรการป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก

จะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 หรือไม่?

จะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 หรือไม่?

ครูเบนเผยว่า จริงๆ มันเริ่มมีกลิ่นอายสงครามครั้งใหม่แล้ว เพราะต้องไม่ลืมว่าสงครามโลกมันเกิดจากการเผชิญหน้ากันของชาติมหาอำนาจ เมื่อไหร่ที่ยักษ์ใหญ่เผชิญหน้ากัน มันจะเกิดวิกฤตการณ์ขึ้นมา ซึ่งตอนนี้มันก็เกิดขึ้นแล้ว และรอเพียงแค่ชนวนเหตุเท่านั้น ที่นำไปสู่สงคราม

แต่เราก็หวังว่า โลกยุคใหม่ที่หลายสิ่งหลายอย่าง ยึดโยงให้โลกเข้ามาหาหัน ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจ การศึกษา การค้า ที่ทำให้โลกมันเล็กลง จะช่วยยึดโยงโลกไว้ด้วยกันมากกว่าในอดีต ยกตัวอย่างเช่น โทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่ง อาจมีมากกว่า 1 ประเทศร่วมกันผลิต หากเกิดสงครามขึ้น มันก็ส่งผลกระทบต่อการผลิต ขายไม่ได้ ประชาชนเดือดร้อน รัฐบาลที่ทำสงครามกันก็เดือดร้อน ดังนั้นสงครามระหว่างประเทศจึงเกิดขึ้นได้ยากมากกว่าอดีต

เราต้องไม่ลืมว่า สงครามกับการเมืองมันไปด้วยกัน พูดง่ายๆ ว่าการเมืองนำหน้าการทหาร ตราบใดที่ทุกฝ่ายยังพอใจในผลประโยชน์อยู่ สงครามก็ยังไม่เกิด อย่างมากก็เป็นสงครามการค้า สงครามทางธุรกิจ แต่ยากที่จะใช้กำลังทหารเป็นทางเลือกแรก เพราะบทเรียนจากสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง ยังคอยย้ำเตือนเราอยู่ และตอนนี้ทุกฝ่ายก็มีอาวุธนิวเคลียร์ ถ้าเกิดสงคราม โลกต้องย่อยยับกว่าทุกครั้งที่ผ่านมาแน่

กล่าวคือ อาวุธนิวเคลียร์ที่แต่ละประเทศครอบครอง มีหน้าที่เป็นเครื่องเตือนใจ และเอาไว้ต่อรองผลประโยชน์กับประเทศอื่นมากกว่า เพราะการมีอาวุธชนิดนี้จะทำให้ประเทศอื่นไม่กล้ามาเอาเปรียบ แต่คงไม่มีใครอยากใช้มันเป็นอาวุธจริงๆ เพราะการใช้นิวเคลียร์โจมตีข้าศึก อำนาจการทำลายของมัน จะทำลายทุกอย่างจนหมด และผู้ชนะจะได้แค่ดินแดนรกร้างว่างเปล่า ที่ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ไปอีกนานแสนนาน

แต่ก็ประมาทไม่ได้ เพราะอาจมีใช้นิวเคลียร์แรงดันต่ำ หรือที่เรียกว่าอาวุธนิวเคลียร์ทางยุทธวิธี ซึ่งสามารถทำลายเมืองทั้งเมือง หรือเขตอุตสาหกรรมได้ แต่คงไม่ใช้แบบทำลายทั้งทวีป เหมือนที่เราเห็นในหนัง และหากมันเกิดขึ้นจริง ทวีปเอเชียจะเป็นสมรภูมิที่เดือดที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย และชาวอาเซียนจะถูกบีบให้เลือกข้างแน่น แต่เราได้แค่หวังว่า ผู้นำโลกคงไม่โง่พอที่จะทำให้เกิดสงครามอีก

ทิ้งนิวเคลียร์ใส่ฮิโรชิมา และนางาซากิ ญี่ปุ่นยอมแพ้ ไทยได้ประโยชน์ด้วย

ครูเบนทิ้งท้ายว่า การทิ้งนิวเคลียร์ใส่ ‘ฮิโรชิมา’ และ ‘นางาซากิ’ ของญี่ปุ่นทำให้โลกได้ตระหนักถึงอานุภาพความสยดสยองของมัน ซึ่งเห็นแล้วว่า มันไม่ได้ฆ่าคนให้ตายภายในครั้งเดียว เพราะคนที่รอดก็ต้องทุกข์ทรมานจากกัมมันตภาพรังสีของมันไปอีกหลายปี

ถ้าเกิดสงครามขึ้นจริงๆ หวังประชาชนทั้ง 2 ฝ่ายที่เป็นคู่สงคราม จะช่วยกันกดดันให้รัฐบาลของตัวเอง เจรจาสงบศึก เพราะคนที่รับเคราะห์กรรมมากที่สุดคือประชาชน แต่ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของประชาชนในชาติ และรัฐบาลนั้นๆ ว่าเขามองสงครามอย่างไร

ข่าวที่เกี่ยวข้อง 

 

related