svasdssvasds

กรมวิทย์ฯ เผย โควิด JN.1* กลายเป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดในไทย

กรมวิทย์ฯ เผย โควิด JN.1* กลายเป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดในไทย

กรมวิทย์ฯ ถอดรหัสพันธุกรรมเชื้อก่อโรค "โควิด 19" ในไทยในรอบ 6 เดือน พบว่า "สายพันธุ์ JN.1*" มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น กลายเป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดในประเทศไทย

นายแพทย์ยงยศ ธรรมวุฒิ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้ดำเนินการ เฝ้าระวังสายพันธุ์โควิด 19 ด้วยการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมอย่างต่อเนื่อง โดยขอความร่วมมือจากทุกโรงพยาบาล ให้เก็บและส่งตัวอย่างผู้มารับบริการที่ผลตรวจเบื้องต้นเป็นผลบวก จำนวน 5-10 ตัวอย่างต่อสัปดาห์ 

โดยส่วนกลางนำส่งที่สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข และส่วนภูมิภาคนำส่งผ่านศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อให้การดำเนินงานเฝ้าระวังสายพันธุ์โควิด 19 สามารถแสดงสัดส่วนสายพันธุ์กลายพันธุ์ระดับประเทศ และตรวจจับสายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงต่อระบบสาธารณสุขได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ 

ทั้งนี้ สถานการณ์สายพันธุ์โควิด 19 ทั่วโลกจากฐานข้อมูลกลางจีเสด (GISAID) ณ ปัจจุบัน พบ สายพันธุ์ JN.1* มากที่สุด ในสัดส่วน 47.1% มีอัตราการพบที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ KP.2* และ KP.3* พบสัดส่วน 22.7% และ 22.4% ตามลำดับ ซึ่งมีอัตราการพบที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และทั้งสองสายพันธุ์นี้ เป็นสายพันธุ์ที่องค์การอนามัยโลกกำหนดให้เป็นกลุ่มที่ต้องจับตามอง ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2567 เป็นต้นมา

สำหรับประเทศไทย สายพันธุ์ JN.1* มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น และได้กลายเป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาด ณ ปัจจุบัน  

สายพันธุ์ JN.1* เป็นสายพันธุ์ย่อยของสายพันธุ์ BA.2.86 ซึ่งกลายพันธุ์เพิ่มเติมบนโปรตีนส่วนหนามตำแหน่ง L455S และ F456L ซึ่งช่วยเพิ่มความสามารถในการหลบภูมิคุ้มกันอย่างมีนัยสำคัญ โดยทั่วโลกมีรายงานพบสายพันธุ์ JN.1* จำนวน 181,628 ราย จาก 115 ประเทศ (อ้างอิงข้อมูล CoV-spectrum ณ วันที่ 1 กรกฎาคม 2567) ในขณะที่ประเทศไทยพบสายพันธุ์ JN.1*  จำนวนทั้งหมด 716 ราย คิดเป็นสัดส่วนสะสม 41.10% ของสายพันธุ์ทั้งหมดที่พบในประเทศไทย นับตั้งแต่การพบครั้งแรก เมื่อเดือนตุลาคม 2566 ถึง ปัจจุบัน (อ้างอิงจากฐานข้อมูล GISAID)  

กรมวิทย์ฯ เผย โควิด JN.1* กลายเป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดในไทย

 

ข้อมูลการถอดรหัสพันธุกรรมเชื้อก่อโรคโควิด-19 จากห้องปฏิบัติการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข ในรอบ 30 วัน ระหว่างวันที่ 24 พฤษภาคม - 26 มิถุนายน 2567 จำนวน 182 ราย

  • พบสายพันธุ์ JN.1* จำนวน 110 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 60.4
  • สายพันธุ์ KP.2* และ KP.3* (สายพันธุ์ย่อย JN.1.11.1*) จำนวน 37 ราย และ 22 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20.3 และร้อยละ 12.1 ตามลำดับ
  • พบสายพันธุ์ JN.1.7* และ JN.1.18* จำนวนสายพันธุ์ละ 2 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.1

นอกจากนี้ ข้อมูลจากห้องปฏิบัติการในรอบ 6 เดือน (เดือนมกราคม – มิถุนายน 2567) แสดงให้เห็นว่าสายพันธุ์ JN.1* เป็นสายพันธุ์หลัก โดยสายพันธุ์ KP* (KP.1*, KP.2*, KP.3*, KP.4* และ KP.5*)  ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยของสายพันธุ์ JN.1 ที่ต้องจับตามอง พบในสัดส่วนน้อยกว่าร้อยละ 10 สำหรับสายพันธุ์ EG.5* ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยของ XBB.1.9.2* พบสัดส่วนลดลง อย่างต่อเนื่อง กระทั่งเดือนพฤษภาคมถึงปัจจุบัน ไม่พบสายพันธุ์ EG.5*

กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และเครือข่ายห้องปฏิบัติการ ยังคงเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์อย่างต่อเนื่อง  โดยการรวบรวมตัวอย่างผลบวกเชื้อก่อโรคโควิด 19 จากการทดสอบ ATK หรือ Real time RT-PCR จากทั่วประเทศ ทดสอบด้วยเทคนิค Real-time RT-PCR เพื่อตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อก่อโรคโควิด 19 (เฉพาะกรณีที่ยังไม่มีผลการทดสอบ Real-time RT-PCR) ถอดรหัสจีโนมทั้งตัว และเผยแพร่ผ่านฐานข้อมูลสากล GISAID อย่างสม่ำเสมอ การฝ้าระวังติดตามสายพันธุ์ที่ระบาดในประเทศอย่างเป็นปัจจุบัน ช่วยส่งเสริมความพร้อมทางห้องปฏิบัติการในการรับมือกับการระบาดในอนาคต”

สถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิด 19 รายสัปดาห์

สถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิด 19 รายสัปดาห์

(วันที่ 14 - 20 ก.ค. 2567)

  • ผู้ป่วยรักษาในโรงพยาบาล (รายสัปดาห์)
  • จำนวน 1,067 ราย : เฉลี่ยรายวัน 152 ราย/วัน
  • ผู้เสียชีวิต (รายสัปดาห์)
  • จำนวน 3 ราย : เฉลี่ยรายวัน 1 ราย/วัน
  • ผู้ป่วยสะสม 34,653 ราย (ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2567)
  • เสียชีวิตสะสม 191 ราย (ตั้งแต่ 1 ม.ค.2567)
  • ผู้ป่วยปอดอักเสบ 589 ราย
  • ผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจ 265 ราย

ที่มา : กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

related