svasdssvasds

ไม่ใช่วันชาติสหรัฐฯ ของทุกคน คนผิวดำส่วนหนึ่งไม่ร่วมฉลองวันประกาศอิสรภาพ

ไม่ใช่วันชาติสหรัฐฯ ของทุกคน  คนผิวดำส่วนหนึ่งไม่ร่วมฉลองวันประกาศอิสรภาพ

“4th of July” ไม่ใช่วันชาติของทุกคน ทำไมคนผิวดำส่วนหนึ่ง ถึงไม่ร่วมเฉลิมฉลอง ‘วันชาติสหรัฐฯ’ แต่ขอร่วม ฉลอง “วันจูนทีนธ์ (Juneteenth) ” แทน

SHORT CUT

  • "ไมเคิล คอร์ด (Michael Chord)" ทนายความ และคอลัมนิสต์ผิวดำชื่อดัง ยก 10 เหตุผลที่คนผิวดำไม่ควรฉลองวันชาติสหรัฐฯ 
  • เพลงชาติสหรัฐฯ “The Star-Spangled Banner” มีเนื้อหาเหยียดเชื้อชาติแฝงอยู่ และยังประพันธ์โดยหนึ่งเจ้าของทาสที่ร่ำรวยที่สุดในสหรัฐฯ 
  • แม้คนผิวดำหลายคน จะไม่มีอารมณ์ร่วมกับ “4th of July” แต่พวกเขาจะไปฉลองในวันจูนทีนธ์ (Juneteenth) แทน เพราะวันนี้เป็นการรำลึกถึงการประกาศอิสรภาพของทาสผิวดำ

“4th of July” ไม่ใช่วันชาติของทุกคน ทำไมคนผิวดำส่วนหนึ่ง ถึงไม่ร่วมเฉลิมฉลอง ‘วันชาติสหรัฐฯ’ แต่ขอร่วม ฉลอง “วันจูนทีนธ์ (Juneteenth) ” แทน

วันที่ 4 ก.ค. ของทุกปี ถือเป็น “วันชาติสหรัฐอเมริกา” หรือ “วันประกาศอิสรภาพ (Independence Day) ” เพราะวันนี้เมื่อปี 1776 เป็นวันที่ผู้แทนจากรัฐอาณานิคมของอังกฤษ 13 รัฐในอเมริกา ได้เข้าร่วมลงนามการประกาศอิสรภาพอย่างเป็นทางการจากจักรวรรดิอังกฤษ โดยเอกสารสำคัญในการนี้ที่เรียกว่า "คำประกาศอิสรภาพสหรัฐอเมริกา" หลังจากนั้นในปี 1941 ทางการสหรัฐฯ ก็ประกาศให้ทุกวันที่ 4 ก.ค. เป็นวันหยุดประจำชาติ เพื่อเฉลิมฉลองกันให้เต็มที่

แต่ “วันประกาศอิสรภาพในปี 1776” ก็ยังไม่ใช่วันอิสรภาพของทุกคนในอเมริกา เพราะขณะนั้น คนผิวดำยังคงเป็นทาสของชาวสหรัฐฯ และถูกกดขี่เรื่อยมาจนกระทั่ง อับราฮัม ลินคอล์น ประกาศเลิกทาส ในปี 1862 แต่ก็ต้องรอจนสิ้นสุดสงครามกลางเมืองในปี 1865 เสียก่อน ถึงจะบังคับใช้ได้ทั้งประเทศ

ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้มีคนผิวดำจำนวนหนึ่งใน สหรัฐๆ ยังคงมองว่า "4th of July ไม่ใช่" เทศกาลของพวกเขา แต่เป็นเทศกาลของคนขาวเท่านั้น และบางคนก็ถึงขั้นมองว่าคนผิวดำที่ร่วมเฉลิมฉลองในวันนี้ ควรต้องสำนึกผิดด้วยซ้ำ

ทำไมคนผิวดำถึงไม่ควรรักวันชาติสหรัฐฯ ?

ทำไมคนผิวดำถึงไม่ควรรักวันชาติสหรัฐฯ ?

ในปี 2023 “ไมเคิล คอร์ด (Michael Chord)” ทนายความ และคอลัมนิสต์ผิวดำชื่อดัง ได้เคยให้เหตุผลที่คนผิวดำ ไม่ควรเฉลิมฉลองวันชาติสหรัฐฯไว้ว่า

การปลดปล่อยและอิสรภาพที่แท้จริง ไม่ได้เกิดขึ้นกับชาวผิวดำของอเมริกาในวันที่ 4 ก.ค. 1776 และไม่ได้เกิดขึ้นกับวันที่ 19 มิ.ย. 1865 (วันเลิกทาสสหรัฐฯ) เช่นกัน และความจริงมันไม่เคยเกิดขึ้นกับเราในประเทศนี้เลย

แต่สิ่งนี้เกิดขึ้นกับคนอเมริกาผิวขาวเมื่อ 247 ปี ในวันที่ 4 ก.ค. และความสุขของพวกเขาคือความเจ็บปวดของเรา ความปีติยินดีของพวกเขาคือความทุกข์ของเรา สวรรค์ของพวกเขาคือขุมนรกของเรา และมันยังคงเป็นเช่นนั้น

ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ มีคนผิวดำจำนวนหนึ่งใน สหรัฐๆ ยังคงมองว่า 4th of July ไม่ใช่เทศกาลของพวกเขา แต่เป็นเทศกาลของคนขาวเท่านั้น และบางคนก็ถึงขั้นมองว่าคนผิวดำที่ร่วมเฉลิมฉลองในวันนี้ ควรต้องสำนึกผิดด้วยซ้ำ

MICHAEL COARD/  PHOTO : https://penncapital-star.com/

เขาได้ยกมา 10 เหตุผลดังนี้

1. อเมริกาเกลียดเราตั้งแต่ก่อนวันที่ 4 ก.ค. 1779 และจริงๆ แล้ว อเมริกาก็เกลียดเรามาตั้งแต่เริ่มกดขี่เราในเวอร์จิเนียเมื่อวันที่ 25 ส.ค. 1619 (จุดเริ่มต้นของการค้าทาสในอเมริกา) และยังคงเกลียดเราอยู่

ในความเป็นจริง เพียงห้าวันก่อน 4 ก.ค. 2023 ศาลฎีกาของสหรัฐอเมริกา เพิ่งจะดำเนินการกับ Students For Fair Admissions (องค์กรสนับสนุนการเข้าเรียนแบบไม่จำกัดเชื้อชาติ) ในคดี “SFFA” กับ “ฮาร์วาร์ดและมหาวิทยาลัยนอร์ธแคโรไลนา” โดยศาลฯ ได้ยกเลิกนโยบายให้ความสำคัญกับคนผิวดำในมหาวิทยาลัย ซึ่งเหมือนเป็นการย้อนกลับไปสู่ ช่วงทศวรรษที่ 1600, 1700 และ 1800 จำกัดการศึกษาสำหรับนักเรียนผิวสี

กรณีนี้ทำให้ “เคตันจิ บราวน์ แจ็กสัน (Ketanji Brown Jackson) ” หนึ่งในผู้พิพากษาศาลฎี ที่ไม่เห็นด้วย ออกมาตอบโต้ว่า ช่องว่างทางเชื้อชาติ เท่าอ่าวทะเลขนาดใหญ่นี้..ถูกสร้างมาตั้งแต่อดีตอันไกลโพ้น แต่ได้รับการสืบทอดมาจนถึงปัจจุบันจากรุ่นสู่รุ่นอย่างไม่ต้องสงสัย”

คนผิวสีไม่ควรเฉลิมฉลองเอกราชของประเทศที่ยังมี "ช่องว่างทางเชื้อชาติขนาดอ่าวทะเล" และที่สำคัญกว่านั้นคือ ประเทศที่ยังคงเกลียดชังเรา

2. วันที่ 4 ก.ค. 1776 เมื่อสภาคองเกรสแห่งภาคพื้นทวีปในฟิลาเดลเฟียได้รับรองปฏิญญาอิสรภาพฉบับแก้ไขอย่างเป็นทางการ ผู้ลงนาม 41 คนจากทั้งหมด 56 คน ยังคงจับคนผิวดำมาเป็นทาส ตามการอ้างอิงของเอกสารประวัติศาสตร์ ของ “ชัค ฮักกินส์ (Chuck Huggins) ” กินส์ อดีตผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสารของกองทัพสหรัฐฯ ในหน่วยสืบราชการลับ

ดังที่ชัค ฮักกินส์ อดีตผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสารของกองทัพสหรัฐฯ ที่หน่วยสืบราชการลับ – จับคนผิวดำเป็นทาส

3. โธมัส เจฟเฟอร์สัน Thomas Jefferson หนึ่งในชายผิวขาว 56 คน ที่เป็นผู้ร่างปฏิญญาอิสรภาพ ได้จับผู้ชาย ผู้หญิง และเด็กผิวดำ 175 คนมาเป็นทาสในปี พ.ศ. 1776 และเพิ่มจำนวนเป็น 267 คนในปี พ.ศ. 1822

4.เมื่อ “ปฏิญญาอิสรภาพ” ถูกนำมาใช้ในปี 1776 จึงส่งผลให้ทาสนั้นถูกกฎหมายในทั้ง 13 รัฐอาณานิคม ซึ่งหมายความว่า 20% ของประชากรตกเป็นทาส และการเป็นทาสไม่ได้เป็นเพียงความบาปทางใต้เท่านั้น แค่ในช่วงเวลาของการประกาศอิสรภาพ ทาสก็มีอยู่ในภาคเหนือเช่นกัน โดยมีคนผิวดำประมาณ 40,000 คนถูกคุมขังอย่างโหดร้ายในภูมิภาคนี้ ตามที่บันทึกไว้โดย “เจมส์ เอ็ม. เวโล (James M. Velo) นักวิจัยจากสารานุกรมประวัติศาสตร์ และบันทึกการสำรวจสำมะโนประชากรจากปี 1780 พบว่า 6,855 คนจาก 40,000 คนอยู่ในเพนซิลเวเนีย และ 539 คนในฟิลาเดลเฟีย

5. แม้ว่าในวรรคที่สองของคำประกาศอิสรภาพจะอ้างว่า “มนุษย์ทุกคนถือกำเนิดมาเท่าเทียมกัน” แต่ระหว่างปี 1776 - 1800 มีคนผิวดำเป็นทาสมากกว่า 500,000 คน

6. หลังจากที่รัฐสภาประกาศเอกราชและประกาศสงคราม “จอร์จ วอชิงตัน” ได้สั่งห้ามชายผิวสีเข้าร่วมกองทัพ แต่เมื่อเขาเริ่มพ่ายแพ้มากขึ้นเรื่อยๆ เขาจึงยอมถอย และยอมให้ชายผิวดำกว่า 5,000 คนอาสาเข้าร่วมกองทัพและช่วยนำชาวอาณานิคมไปสู่ชัยชนะเหนืออังกฤษในปี 1783 แต่ถึงแม้จะอาสาเข้าร่วมกองทัพและช่วยนำอเมริกาไปสู่ชัยชนะ แต่ทหารผิวดำผู้รอดชีวิตหลายคนก็กลับไปเป็นทาสอีกครั้งหลังสงคราม นี่มันอะไรกัน?

7. เมื่อพูดถึงนายพลวอชิงตัน เขาได้จับคนผิวดำ 316 คนเป็นทาสที่ไร่ของเขาในเมืองเมาท์เวอร์นอน รัฐเวอร์จิเนีย และจับคนผิวดำ 9 คนเป็นทาสอย่างผิดกฎหมายที่ถนนซิกซ์ธและมาร์เก็ตในฟิลาเดลเฟีย ซึ่งเป็นที่ตั้ง “ทำเนียบขาว” แห่งแรกของอเมริกา และ ในวันที่ 2 ก.ค. 1766 เขาได้เจรจาแลกชายผิวดำคนหนึ่งชื่อ “ทอม” กับถังน้ำเชื่อมและเหล้ารัม ลองนึกถึงเรื่องนี้เมื่อคุณนึกถึงภาพนายพลผิวขาวที่นำประเทศของคนขาวแห่งนี้ไปสู่ชัยชนะในวันประกาศอิสรภาพ 4 ก.ค. ดูซิ

8. ผลโดยตรงจากการประกาศอิสรภาพเมื่อวันที่ 4 ก.ค. 1776 และสงครามปฏิวัติ 1775–1783 รัฐบาลใหม่จึงได้รับการสถาปนาขึ้นผ่านรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา 1788 และเนื่องจากผลผลิตแห่งการเหยียดเชื้อชาติ จึงส่งผลให้รัฐธรรมนูญเองก็มีการเหยียดเชื้อชาติด้วย (และบางส่วนยังคงเป็นอยู่) ดังที่แสดงในมาตราสามในห้า (มาตราที่ 1 ส่วนที่ 2 วรรคที่ 3) ข้อบัญญัติของวิทยาลัยการเลือกตั้ง (มาตรา II ส่วน 1 วรรค 2) ข้อการนำเข้าชาวแอฟริกันเข้าสู่ทาส (มาตรา 1 ส่วน 9 วรรค 1) อย่างต่อเนื่อง และรัฐต่างๆ มีอิสระในการส่งคืนทาสผู้หลบหนีหลับไปยังรัฐ “ทาส” (มาตรา IV, ส่วนที่ 2 วรรค 3)

9. เนื่องมาจากรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกาปี 1788 ที่เป็นผลมาจากการประกาศอิสรภาพในปี 1776 ตำแหน่งประธานาธิบดีจึงถูกสร้างขึ้นอย่างเป็นทางการ และประธานาธิบดี 12 คนของประเทศนี้หลังจากนั้น ล้วนมีทาสตั้งแต่ 1-316 คน ไล่ตั้งแต่ “มาร์ติน แวน บิวเรน (Martin Van Buren) ” มีทาส 1 คน, “ยูลิสซีส เอส. แกรนต์ (Ulysses S. Grant) มีทาส 1 คน” , “แอนดรูว์ จอห์นสัน (Andrew Johnson) ” มีทาส 8 คน , “วิลเลียม เฮนรี แฮร์ริสัน (William Henry Harrison) ” มีทาส 11 คน , “เจมส์ เค. โพล์ค (James K. Polk) ” มีทาส 25 คน, “จอห์น ไทเลอร์ (John Tyler) ” มีทาส 70 คน, “เจมส์ มอนโร (James Monroe) ” มีทาส 75 คน, “เจมส์ เมดิสัน (James Madison) ” มีทาส 100-125 คน, “แซคารี เทย์เลอร์ (Zachary Taylor) ” มีทาส 150 คน, “แอนดรูว์ แจ็กสัน (Andrew Jackson) ” มีทาส 150-200 คน, “โทมัส เจฟเฟอร์สัน (Thomas Jefferson) ” มีทาส 267 คน และ “จอร์จ วอชิงตัน (George Washington) ” มีทาส 316 คน

10. หลังจากประกาศอิสรภาพ และสงครามปฏิวัติ สิ่งอำนวยความสะดวก และสัญลักษณ์ที่ยิ่งใหญ่ต่างๆ ถูกสร้างขึ้น ทว่าไม่ใช่โดยคนผิวขาว แต่เป็นทาสชาวผิวดำ เช่นทำเนียบขาว และรัฐสภาสหรัฐฯ และก่อนที่จะประกาศอิสรภาพในปี 1776 ทาสผิวดำก็ได้สร้างคฤหาสน์ ของจอร์จ วอชิงตันที่เมาท์เวอร์นอน รัฐเวอร์จิเนีย ในปี 1758 และคฤหาสน์ของ โทมัส เจฟเฟอร์สันที่มอนติเซลโล รัฐเวอร์จิเนีย ในปี 1772

นอกจาก 10 ข้อนี้ ไมเคิล คอร์ด ได้ทิ้งท้ายเอาไว้ว่า อย่าเฉลิมฉลองวันประกาศอิสรภาพของคนผิวขาวในวันที่ 4 ก.ค. แต่ควรส่งเสริมการปลดปล่อยคนผิวดำโดยทำสิ่งนี้แทน นั่นคือ “อย่าลืมล้างแค้นเสมอ”

เพลงชาติสหรัฐฯ  PHOTO PICRYL

เพลงชาติสหรัฐๆ ยังคงเป็นปัญหา

ก่อนการเฉลิมฉลองวันชาติสหรัฐฯ ในปี 2024 เพียงหนึ่งวัน หญิงสาวผิวดำรายหนึ่ง ที่มีอาชีพทนายความ ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศว่า หลังจากเรียนจบคณะนิติศาสตร์และได้เป็นแม่ มุมมองของฉันก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เมื่อก่อนฉันเคยสนับสนุนและปฏิบัติตามประเพณีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับวันชาตินี้ แต่ตอนนี้ฉันไม่รู้สึกว่าวันหยุดมีคุณค่าต่อฉันและครอบครัวอีกต่อไป

เธอมองว่า เพลง “The Star-Spangled Banner” มีเนื้อหาเหยียดเชื้อชาติแฝงอยู่ และยังประพันธ์โดยหนึ่งในเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในอเมริกา “ฟรานซิส สก็อตต์ คีย์ (Francis Scott Key) ” ที่เป็นทั้งกวี ทนายความ และเจ้าของทาส ซึ่งเรื่องนี้ยังคงฝังรากลึกอยู่ในเพลงชาติ ไม่ว่าผู้คนจะเลือกร้องมันหรือไม่ก็ตาม และเพลงนี้ยังคงเป็นสัญลักษณ์ของปัญหาด้านเชื้อชาติที่ใหญ่มาก

และในฐานะที่เธอเป็นทนายความ เธอจึงรู้สึกสบายใจมากกว่าเมื่อตัดสินใจไม่ เฉลิมฉลองในวันที่ 4 ก.ค. เพราะในมุมมองทางกฎหมาย เธอตระหนักดีว่าประเทศนี้ต้องเริ่มต้นทำอะไรสักอย่าง แม้ทุกวันนี้จะอเมริกาพยายามปฏิบัติตามกระบวนการเลือกตั้งจริงๆ และพยายามที่จะทำให้สิ่งต่างๆ ในสังคมดีขึ้นด้วยกฎหมาย แต่สถานการณ์ยังห่างไกลจากความคลี่คลาย และระบบก็ยังไม่สมบูรณ์

"เฟรเดอริค ดักลาส (Frederick Douglass)"  PHOTO : PICRYL

สุนทรพจน์ของ “เฟรเดอริค ดักลาส”

หนึ่งในสิ่งที่ทำให้คนผิวดำไม่ได้ชื่นชอบวันชาติสหรัฐฯ ส่วนหนึ่งนั้น มีอิทธิพลมาจาก สุนทรพจน์ของ "เฟรเดอริค ดักลาส (Frederick Douglass)" นักปฏิรูปชาวแอฟริกัน-อเมริกัน ที่เคยกล่าวเอาไว้ในปี 1852 ว่า “วันชาติที่ 4 กรกฎาคมเป็นวันอะไรสำหรับทาส? นอกจากวันเผยความหน้าไหว้หลังหลอกของประเทศที่กระหายอิสรภาพ แต่กลับลังเลที่จะมอบมันให้กับทาสซึ่งเป็นแรงผลักดันให้เศรษฐกิจของประเทศก้าวหน้า” นอกจากนั้นดักลาสยังวิจารณ์คริสตจักรโดยกล่าวหาพวกเจ้าของทาสว่าใช้พระคัมภีร์เป็นข้ออ้างในการกดขี่ทาส ทั้งที่ในความจริงหนังสือเล่มดังกล่าวเน้นย้ำถึงอิสรภาพของทุกคน และเขาเชื่อว่าคริสตจักรสามารถมีบทบาทสำคัญในการเลิกทาสได้ แต่กลับไม่ทำเช่นนั้น

สุนทรพจน์ ดังกล่าวถูกยกให้เป็น หนึ่งในสุนทรพจน์ที่สะเทือนใจที่สุดในโลก และมักถูกเอามาพูดถึงเรื่อยๆ ในช่วงที่สหรัฐฯยังคงมีปัญหาเรื่องการเหยียดเชื้อชาติ

Juneteenth celebration and march through Uptown Greenville, June 19, 2021. Original public domain image from Flickr

ฉลอง “วันจูนทีนธ์ (Juneteenth) ” แทน

แม้คนผิวดำหลายคน จะไม่มีอารมณ์ร่วมกับ “4th of July” แต่พวกเขาจะไปฉลองในวัน "จูนทีนธ์ (Juneteenth) แทน" เพราะวันนี้เป็นการรำลึกถึงการประกาศอิสรภาพของทาสผิวดำและการสิ้นสุดของการค้าทาสในอเมริกาแทน ซึ่ง โจ ไบเดน สมัยยังเป็นประธานาธิบดี เพิ่งจะลงนามให้เป็นวันหยุดประจำชาติในปี 2021 ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม เรื่องที่คนดำไม่ควรฉลองวันชาติร่วมกับคนขาว ยังคงเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันอยู่ โดยเฉพาะบนโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์มต่างๆ ซึ่งแต่ละคนก็มีเหตุผลและมุมมองต่างกันไป ส่วนคนผิวดำบางคนก็เดินทางสายกลาง ฉลองได้ทั้ง 2 เทศกาล ก็มี แต่ส่วนใหญ่มักมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่ต้องซีเรียสอะไร เพราะตอนนี้ทุกคนเท่าเทียมกันแล้ว 

ที่มา : Time / MICHAEL COARD / RD.COM

ข่าวที่เกี่ยวข้อง 

related